สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านและดูภาพกับคลิปรีวิวในตอนที่ 1 ย้อนอ่านได้ >> ที่นี่
หลังจากที่ผมเดินซื้อไม้กายสิทธิ์มาแล้วจากร้านโอลลิแวนเดอร์ ก็เริ่มรู้สึกว่าสัมภาระในมือชักจะเยอะไปละนะ ก็เลยต้องทำการสอยถุงหูหิ้วมาซะหน่อย ก็ตรงไปถามพนักงานว่าอยากได้ถังหูหิ้ว เขาก็หยิบเอาเซ็ตถุงหูหิ้วมาให้ (ตอนแรกคิดว่าฟรี) โดยมีเรตราคาตามขนาด S M และ L แอดมินมองว่าคงต้องซื้ออีกบาน เลยจัดถุงใหญ่ไซส์ L ซะเลย ราคา 650 เยน หรือประมาณ 200 บาท ซึ่งก็ใหญ่มาก ใหญ่สะใจ 555 และแนะนำให้ซื้อถุงหิ้วอันนี้ครับ เป็นถุงพลาสติกเนื้อดี เพราะถุงที่ได้จากการซื้อของแต่ละครั้ง จะได้เป็นถุงแบบไม่มีหู ต้องเอาใส่กระเป๋าเป้หรืออะไรแบบนั้น แต่ซื้อถุงพลาสติกมานั่นแหละครับ ฟินสุดๆ (และถ้าไม่ขี้เกียจต่อคิว แนะนำให้จ่ายทีละชิ้นจะได้ถุงกระดาษมาหลายๆ ใบ 555 (เอามาเยอะทำอะไรล่ะเนี่ย)
พอจบจากโซนร้านโอลลิแวนเดอร์แล้ว ไม่ต้องเดินไกล เพราะมองทะลุหน้าต่างร้านออกไปก็เจอปราสาทฮอกวอตส์
โดยมีด้านขวาเป็นเครื่องเล่น Flight of the Hippogriff ซึ่งตอนที่เราจะเข้าปราสาทฮอกวอตส์ก็เข้าช่วงบ่ายแล้วครับ หน้าทางเข้ามีคนรอคิวเต็มไปหมด ให้สังเกตดีๆ นะครับ ซึ่งผมกับพี่จาร์แวะไปถ่ายตรงริมทะเลสาบอีกหน่อย ก่อนจะมาต่อคิวเข้าปราสาท
ซึ่งการต่อคิวเข้าปราสาทต้องบอกว่า รอนานมาก 40 นาทีเห็นจะได้หรือมากกว่านั้น การต่อคิวเข้าปราสาทในคิวด้านซ้ายมือ จะมีพนักงานคอยให้ความช่วยเหลือและบอกเราครับ ซึ่งคิวตรงนี้จะเป็นการเข้าไปชมส่วนต่างๆ ด้านในปราสาทฮอกวอตส์ ตั้งแต่เรือนกระจก ที่ไม่มีอะไรน่าตื่นตาเท่าไหร่ เหมือนเป็นจุดไว้ให้คิวเคลื่อนไปมาเฉยๆ จะน่าสนใจก็ตอนเข้าประตูปราสาทไปแล้ว
แถวด้านซ้ายสุดคือแถวเดินเข้าปราสาทฮอกวอตส์ จากในภาพคือแถวคนเสื้อน้ำเงินครับที่ผมกับพี่จาร์ต่อคิวสำหรับเข้าชมปราสาท ส่วนแถวขวาของคนกระเป๋าแดง ถ้าเดินผ่านซุ้มประตูหมูป่ามีปีกเข้าไปต่อคิว จะเป็นคิวเครื่องเล่น Harry Potter and the Forbidden Journey ครับ
จากในภาพนี่ประมาณระยะแค่ 10% ของเส้นทางไปถึงประตูทางเข้าครับ เพราะการต่อคิวตรงนี้ต้องเดินลดเลี้ยวเคี้ยวคดไปเรื่อยๆ วนไปมาในเรือนกระจกอยู่พักใหญ่ๆ
แล้วเราก็ได้เข้าประตูไปซะที! เย้!!
พอเข้าประตูมาได้ เราก็จะเจอกับรุูปปั้นของสถาปนิกผู้สร้างปราสาทฮอกวอตส์เลยครับ ซึ่งรูปปั้นนี้เราเคยเห็นในภาพยนตร์กันอยู่แล้ว ถ้าจำไม่ได้ นึกถึงตอนที่รอน กับแฮร์รี่ เอาขนมไปล่อแครบกับกอยล์ในภาค 2 ครั้บ นั่นแหละรูปปั้นอันนี้เลย ซึ่งรูปปั้นนี้ไม่มีพูดถึงในหนังสือนะครับ มีแต่ในภาพยนตร์ ^^ ซึ่งจริงๆ แล้วว่ากันว่า ปราสาทฮอกวอตส์สร้างโดยโรวีน่า เรเวนคลอ และเข้าใจกันว่าชายเจ้าของรูปปั้นนั้นเป็นผู้ร่วมสร้างกับเรเวนคลอ เข้าใจแบบนี้ละกันเนอะ
จากรูปปั้นสถาปนิกผู้สร้างฮอกวอตส์ ก็จะเจอกับหลอดแก้วที่ใส่อัญมณีแต่ละบ้านไว้เหมือนในภาพยนตร์ ตามด้วยรูปปั้นอีกรูป ไม่คุ้นหน้าคุ้นตากันเท่าไหร่
แต่ทำให้นึกถึงเลโมนี สนิกเก็ตซะงั้นอะ 55 ซึ่งข้อมูลของชายคนนี้มีระบุว่าเป็น อาจารย์ใหญ่คนแรกของฮอกวอตส์ครับ (อ้างอิงจากข้อมูลการเปิดสวนสนุกแฮร์รี่ พอตเตอร์ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2010 ในสวนสนุกไม่ได้เขียนบอกไว้) เราจะเห็นรูปปั้นนี้ในภาค 2 ครับ ซีนที่แฮร์รี่เข้าไปในบันทึกของทอม ริดเดิ้ลครับ ซีนนี้ครับ
และจริงๆ แล้วตั้งแต่หน้าประตูเราก็เจอกับสัตว์ประหลาดมีปีกที่พาขึ้นไปห้องทำงานของดัมเบิลดอร์ แต่พอเห็นชัดๆ ใกล้ๆ มันยิ่งฟิน อยากแอบมุดเข้าไปในเขตห้ามเข้า แล้วไปยืนทำฟินแบบตอนแฮร์รี่ขึ้นบันไดเวียนนี้ครั้งแรกจัง
ต้องบอกว่าทุกคนพยายามงัดเอาอาวุธมักเกิ้ลสำหรับการถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายกันรัวๆ เปิดแฟลช ปล่อยแสงกันกระจาย ซึ่งช่วงที่แสงแฟลชยิงใส่สัตว์ประหลาดมีปีกมันก็ได้อารมณ์ฟินดี ^^ ถ้าสังเกตด้านขวาจะเห็นพรมประดับผนังรูปยูนิคอร์น ซึ่งเป็นพรมที่เคยประดับหน้าทางเข้าห้องต้องประสงค์ แต่เป็นแบบย่อส่วนนั้นเองครับ ขอแทรกความรู้นิดนึงครับ ^^ พรมอันนี้เป็นพรมที่ไม่ได้สร้างขึ้นพิเศษสำหรับภาพยนตร์นะครับ แต่เป็นพรมที่มีอยู่แล้ว โดยอยู่ในชุดของ The Hunt of the Unicorn มีทั้งหมด 7 ผืนด้วยกัน ซึ่งพรมประดับผนังรูปยูนิคอร์นในรั้วล้อมนั้นชื่อว่า “The Unicorn is in Captivity and No Longer Dead” สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1495 – 1505 ครับ ซึ่งชิ้นที่เราเห็นในแฮร์รี่ พอตเตอร์ หรือ “The Unicorn is in Captivity and No Longer Dead” เป็นชิ้นที่ 7 ชิ้นสุดท้ายของเซ็ตพรมประดับผนังชุดนี้ครับ ^^
จากตรงนี้ก็เดินต่อไปเรื่อยๆ จะเริ่มเจอกับบรรดาภาพประดับกำแพงฮอกวอตส์ที่พูดจากันไปมา หรือทำอะไรบางอย่าง โชคดีเราจะได้เจอเขา โชคไม่ดีก็ไม่เจอเขา 55+ แล้วเราจะยืนรอให้เห็นก็ลำบากด้วยนะ มีแต่คนจะเข้ามาตลอด ผมเลยเปลี่ยนมาถ่ายวิดีโอแล้วพยายามจะถ่ายมาให้ได้เยอะๆ นะครับ ^^ เอาใจคนที่หาโอกาสไปเที่ยวลำบาก
พอเลี้ยวหลบมุมมาได้นิดเดียว ก็เจอกับบรรดาภาพเหมือนประดับกำแพงฮอกวอตส์ (ที่แอบเสียดายไม่มีบันไดฮอกวอตส์ที่เคลื่อนย้ายไปมา)
ถ้าภาพเหมือนไม่อยู่ก็จะเจอแค่รูปโล่งๆ ความรู้สึกให้นึกถึงตอนที่สุภาพสตรีอ้วนหนีไปเที่ยวแล้วเนวิลล์เข้าหอนอนไม่ได้นั่นแหละครับ “เคว้งคว้าง”
ภาพแต่ละภาพของสี่ผู้ก่อตั้งจะพูดคุยกันไปมา ซึ่ง… ผมฟังภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่องเลย แต่เขาทำได้ดีมาก ขัดใจก็แค่แสงมืดไปหน่อย ถ่ายรูปยาก และต้องขออภัยด้วยครับที่ถ่ายวิดีโอมาเป็นแนวตั้งเลยดูได้ไม่สะใจ เอาเป็นว่ากดดูเต็มจอเอาละกันเนอะ
หลังจากที่เดินออกจากโซนของภาพประดับกำแพงฮอกวอตส์ โซนต่อไปก็จะเป็นห้องทำงานอาจารย์ใหญ่ เราจะได้เจอกับอัลบัส ดัมเบิลดอร์ครับ ^^ ภาษาญี่ปุ่นอีกเช่นเคย และด้วยบรรยากาศที่มืดไปหน่อย เลยเห็นบรรยากาศไม่ฟินในความคิดของผมนะ และถึงจะคนเยอะ แต่ก็ไม่มีการเบียด หรือกระแทกกันไปมานะ ใครที่ถ่ายรูปด้านหน้า คนด้านหลังจะหยุดให้ถ่าย ซึ่งถือว่าเป็นมารยาทที่ดีมากๆ
ด้วยความที่ถ่ายไม่ใช้แฟลช แต่คนอื่นแฟลชกันรัวๆ ก็เอาบ้างดีกว่า เผื่อจะได้อะไรชัดขึ้น แล้วก็ชัดสะใจจริงๆ
แล้วจากห้องทำงานของดัมเบิลดอร์ เราก็จะไปโผล่ที่ห้องเรียนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด ซึ่งจัดตกแต่งแบบห้องเรียนภาค 3 ห้องเรียนของศาสตราจารย์ลูปินของเรานั่นเองครับ โดยไฮไลท์พิเศษของตรงนี้ก็คือสามสหาย แฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่ที่โผล่ออกมาจากผ้าคลุมล่องหน ผมไม่แน่ใจว่าเขาพูดว่าอะไร แต่ที่มั่วเข้าใจคนเดียวคือ สามคนนี้ใช้ผ้าคลุมล่องหนแอบมาทำอะไรบางอย่างที่ห้องนี้ แล้วก็เสกคาถาทำให้หิมะตก ซึ่งมีหิมะโปรยปรายลงมาจริงๆ ครับ สวยมากกก แต่ถ่ายรูปไม่ติด 55+ อยากเห็นอยากฟินก็ต้องหาโอกาสไปให้ได้นะ
ดูอารมณ์จากภาพด้านขวาครับ ทุกคนพยายามไขว้คว้าหิมะที่โปรยปรายลงมา หลังจากที่ทั้ง 3 คนเผลอทำหิมะร่วงลงมา ใครเข้าใจภาษาญี่ปุ่นมาบอกผมทีว่ามันแปลว่าอะไร ถ้าฟังในคลิปออก ^^
พอออกมาจากห้องเรียนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด ตามทางเดินก็จะพบกับรูปภาพกระจกสีที่เนวิลล์ไปยืนซึมเศร้าในภาค 4 แล้วก็สุภาพสตรีอ้วนครับ สุภาพสตรีอ้วนเราขี้โม้สุดๆ
จากนั้นพวกเราก็เดินไปเรื่อยๆ แล้วทะลุออกในส่วนของห้องทำงานของฟิลช์ หรือ Filch’s Emporium of Confiscated Goods ซึ่งเป็นโซนร้านค้าที่ขายทั้งพวงกุญแจ ของที่ระลึก คุกกี้ พวกอุปกรณ์เครื่องเขียน ตัวต่อนาโน และอีกหลายอย่างอยู่ในนี้เยอะแยะไปหมดเลยครับ ตรงนี้ถ่ายรูปลำบากสุดเพราะคนแน่นเบียดกันไปมาแบบสุดๆ เรื่องต่อคิวจ่ายเงินไม่ต้องพูดถึง สินค้าหลายส่วนถูกหยิบหมดอย่างรวดเร็ว และพนักงานก็เอาของมาเติมเร็วพอๆ กัน
ซึ่งนอกจากสินค้าขายแล้ว ก็จะมีชุดหมากรุกที่ถอดแบบมาจากฉากหมากรุกในภาคแรกมาให้ถ่ายรูปกัน งานสวยมาก อยากได้มาก แต่ไม่ขาย!
ในห้องทำงานของฟิลช์มีเซ็ตปากกาที่ทำเป็นไม้กายสิทธิ์ด้วยครับ แต่จำราคาไม่ได้ละ รู้แค่ว่าหลายพันเยน แล้วก็แก้วน้ำสวยๆ แต่ละบ้านใบละ 2,700 เยน หรือประมาณ 830 บาท
ผมกับพี่จาร์ต่างคนต่างสอยของกันตามใจมือ จากถุงโล่งๆ มือของเต็มถุงเพราะตรงนี้เลย 55+ ผมสอยมาทั้งโกลเด้นสนิชแบบที่ใส่ถ่านแล้วปีกกระพือ ราคา 1,700 เยน (~520 บาท) กล่องคุกกี้ลายสวนสนุกแฮร์รี่ พอตเตอร์ 1,600 เยน (~490 บาท), ลูกอมกล่องเหล็กรสไฟสายด่วนฮอกวอตส์ 700 เยน (~215 บาท), พวงกุญแจเครื่องย้อนเวลา 1,500 เยน (~460 บาท) และกล่องคุกกี้แบบหีบ 1,800 เยน (~550 บาท) สำหรับการแวะห้องทำงานฟิลช์ในรอบแรก ตอนแรกก็อยากสอยชุดเซ็ตปากกาแต่มองราคากับความสวยงามแล้ว ไม่เอาดีกว่า แก้วน้ำก็ไม่ค่อยได้ใช้ ถึงจะสวยก็เหอะ แล้วก็กลัวน้ำหนักกระเป๋าจะเกินเพราะน้ำหนักเลยปล่อยไป (อย่างที่บอกตอนต้นว่าถ้าต่อคิวไหว ก็ซื้อทีละหลายรอบจะได้ถุงหลายใบ 55)
กว่าจะออกจากโซนปราสาทฮอกวอตส์ได้ ก็กินเวลาไปนานพอสมควร เกือบสี่โมงเย็นได้ครับ ผมมายืนถ่ายรูปเล่นระหว่างรอพี่จาร์ต่อคิวจ่ายเงิน ก็ถ่ายรูปปราสาทฮอกวอตส์ไปเพลินๆ
ภาพซ้ายถ่ายจากด้านในร้านฟิลช์ ส่วนด้านขวาถ่ายจากทางเดินที่ออกจากร้านฟิลช์มาแล้ว ถ้าอิงจากการเดินออกมาจากในร้าน ป้ายชี้ทางจะอยู่ด้านซ้ายครับ โซนซ้ายคนไม่เยอะมาก
ตรงธงแต่ละบ้าน คนมาถ่ายรูปในระดับนึง ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่คอสเพลย์มา แล้วมายืนถ่ายบ้านตัวเอง ซึ่งตรงที่ผมยืนเห็นป้าย ด้านหลังจะเป็นเครื่องเล่น Flight of the Hippogriff ครับ เรายืนถ่ายรูปกับธงบ้านสักพัก แล้วก็ย้ายไปโซนหมู่บ้านฮอกส์มี้ดอีกครั้ง เพื่อเริ่มต้นการดื่มด่ำกับบัตเตอร์เบียร์ซะที! แต่… ระหว่างกำลังเดินจะไปซื้อบัตเตอร์เบียร์อยู่นั้น คณะตัวแทนนักเรียนจากเดิร์มแสตรงก์ และโบซ์บาตงก็เดินมาพอดีครับ เดินมาด้วยท่วงท่าเหมือนในภาพยนตร์เป๊ะ! เราก็เลยข้ามบัตเตอร์เบียร์แล้วไปฟินการแสดงของทั้งสองโรงเรียนก่อน 55+
โบซ์บาตงนี่สวยกันทุกคนเลย โดยเฉพาะสามผมแดงคนที่สอง กับสาม เผลอหลงเสน่ห์ไปพักใหญ่ๆ ตอนถ่ายวิดีโอ >< ส่วนเดิร์มแสตงก์ก็มามาดขี้เก๊ก ขึงขัง ไม่ยิ้มกันเลยสักคน มาดตามหนังเป๊ะพอกัน
แล้วจากนั้นเราก็ได้ไปลองบัตเตอร์เบียร์ กับเวลาเกือบๆ 5 โมงเย็น ชมวิวพระอาทิตย์ตกดินพอดี ฟินกระจาย!
เราสองคนสั่งบัตเตอร์เบียร์แบบที่ซื้อแก้วด้วย จากราคาปกติที่ได้แก้วพลาสติกธรรมดา 600 เยน เป็น 1,100 เยน หรือประมาณ 340 บาทครับ ซี่งที่ซื้อเป็นบัตเตอร์เบียร์แบบธรรมดาครับ ไม่มีแอลกอฮอล์ สำหรับบัตเตอร์เบียร์จะมี 2 แบบครับ แบ่งเป็น 4 ประเภทย่อย คือ แบบธรรมดา ราคา 600 เยน ถ้าเอาแก้วที่ระลึกด้วยก็ 1,100 เยน กับแบบโฟรเซนหรือแบบปั่น ไม่ผสมแอลกอฮอล์อีกเช่นเคยครับ ราคา 700 เยน ถ้าเอาแก้วที่ระลึกด้วย 1,200 เยนครับ
แม้จะเย็นย่ำ ความมืดเริ่มคืบคลาน กระแสผู้ที่มาเที่ยวก็ไม่ได้เบาบางลงอย่างที่คาดคิดนัก แม้จะเบาลงไปบ้างแล้วก็ตาม เราสองคนดื่มด่ำรสชาติบัตเตอร์เบียร์ ที่ซ่านิดๆ หวานหน่อยๆ เคล้าบรรยากาศแสนโรแมนติกที่บ้านของพวกเรา “ฮอกวอตส์” เสียงเพลงบรรเลงมาจากฮอกวอตส์ไกลๆ เป็นระยะ บ่องตงว่าฟินจุงเบย ^^ จิบบัตเตอร์เบียร์ให้ฟองติดปากรับลมเย็นๆ ฟินมากจริงๆ
เรา 2 คนตั้งใจจะไปเล่นเครื่องเล่นต่อหลังจากที่ดื่มบัตเตอร์เบียร์เสร็จแล้ว แต่ดูเหมือนผู้คนจะยังหนาตา แล้วสวนสนุกปิด 3 ทุ่ม เราก็เลยไปเดินเล่นโฉมส่วนที่เหลือของฮอกส์มี้ดกันต่อ ก่อนจะวกกลับมาที่หน้าปราสาทฮอกวอตส์แล้วขึ้นเล่นเครื่องเล่น Flight of the Hippogriff
จะเป็นยังไงสำหรับบรรยากาศค่ำคืนที่สวนสนุก The Wizarding World of Harry Potter นั้น ติดตามได้ในตอนสุดท้าย ตอนที่ 3 ครับ ^^