20 ปี แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับผู้กำกับคริส โคลัมบัส

20 ปี แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับผู้กำกับคริส โคลัมบัส

บทสัมภาษณ์ตัดย่อจากต้นฉบับของเว็บไซต์ Variety เขียนโดย Rebecca Rubin


เป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษแล้วที่ภาพยนตร์ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ ได้ถูกเผยแพร่ต่อสายตาชาวโลก เนื่องในโอกาสนี้ทางสำนักข่าว Variety ได้จับเข่าสัมภาษณ์ คริส โคลัมบัส ผู้กำกับจากสองภาคแรกผู้เป็นเสมือนบุคคลที่บุกเบิกและก่อร่างสร้างโลกเวทมนตร์อันเป็นที่รักนี้ขึ้นมาบนแผ่นฟิล์ม และต่อไปนี้คือบทสัมภาษณ์ฉบับย่อ ๆ จากคุณโคลัมบัส

ตอนนั้นหนังสือดังมาก คุณกดดันไหมตอนกำกับหนังภาคแรก?

คริส โคลัมบัส: สุด ๆ ไปเลย ผมนึกด้วยซ้ำว่าจะโดนไล่ออกตั้งแต่สองอาทิตย์แรก รู้ตัวดีเลยว่าถ้าทำเละล่ะก็จะไม่มีที่ยืนอีกต่อไปแล้ว ต้องโดนแฟน ๆ นับล้านเกลียดแน่นอน… ผมได้ไปพบกับ เจ.เค.โรว์ลิ่ง ที่สกอตแลนด์ แล้วพูดคุยกับเธอในสิ่งที่ผมคิดเกี่ยวกับแนวทางของหนัง และปรากฏว่าเราคิดตรงกัน สำหรับผมนี่ไม่ใช่การทำหนังเพื่อแฟน ๆ เท่านั้น แต่คือการทำหนังสำหรับตัวผมเองด้วย เพราะผมก็เป็นแฟนตัวยง

เล่าตอนเจอ เจ.เค. โรว์ลิ่ง ให้ฟังหน่อย

เราคุยกันเรื่องหนัง ดีไซน์ต่าง ๆ แล้วเธอก็รู้สึกว่าเราสองคนจูนกันติด ความจริงก่อนหน้านั้นเธอคุยกับผู้กำกับหลายคนมากแต่ไม่โดนสักราย บางคนถึงขนาดจะรวมหนังสือสองเล่มแรกเข้าเป็นหนังภาคเดียว จะใส่เชียร์ลีดเดอร์เข้าไปตอนแข่งควิดดิช อะไรแบบนี้ ส่วนสำหรับผม เธอประทับใจมากตอนผมบอกว่าจะใช้นักแสดงที่เป็นคนอังกฤษทั้งหมด

การทำงานกับแดเนียล เอ็มม่า รูเพิร์ต และนักแสดงเด็กคนอื่นเป็นยังไงบ้าง?

ตอนถ่ายภาคแรกทุกคนยังตื่นกล้อง แถมยังตื่นเต้นกับการได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโลกเวทมนตร์ สามเดือนแรกนี่เราแทบจะถ่ายฉากสนทนายาว ๆ ไม่ได้เลย เพราะพวกเขามักเขินและยิ้มไม่หุบให้กล้องอย่างจงใจตลอด แต่ทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางขึ้นตอนถ่ายทำภาคสอง พอภาคสามทุกคนก็เป็นงานแล้ว หนังเรื่องนึงอาจจะถ่ายแค่ 15 เทคจบเลยมั้ง

ฉากไหนถ่ายยากที่สุด?

ยากไปหมดเลย ที่นึกออกตอนนี้คือฉากควิดดิชเพราะมีแต่กรีนสกรีนล้วน ๆ ซึ่งมันยากมากสำหรับนักแสดงเด็กที่ต้องจินตนาการว่าตัวเองกำลังแสดงอยู่กับอะไร บางทีผมต้องทำท่าทำทางอยู่นอกฉากเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเขา พวกฉากโวลเดอมอร์หลังศีรษะควีเรลล์หรือฉากบาซิลิสก์ก็เหมือนกัน แต่พอเป็นฉากหมากรุกพ่อมดนี่เราสร้างทุกอย่างขึ้นมาจริง ๆ แล้วทุกคนก็แบบ โห! หมากรุกยักษ์อยู่ตรงหน้าเป็นตัว ๆ เลย อันนั้นแอคติ้งดีมาก

คุณชอบบทพูดไหนจากในหนังมากที่สุด?

คุณพระ! ผมไม่ได้ดูหลายปี ลืมหมดแล้ว

ดูครั้งสุดท้ายเมื่อไร?

ก็ตั้งแต่วันพรีเมียร์แหละมั้งครับ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ยังถ่ายภาค 2 อยู่เลย หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ดูแบบเต็ม ๆ เลยสักที อาจมีดูฉากนู้นฉากนี้บ้างเวลาเปิดทีวีไปเจอ เอาจริงผมภูมิใจกับมันมากนะ ได้ทำหนังที่ผ่านมาแล้ว 20 ปี ก็ยังมีคนดูมันอยู่

แล้วฉากที่ชอบที่สุดล่ะ?

ผมชอบฉากตอนจบเรื่องที่ถ่ายที่สถานีรถไฟที่สุดเลย ตอนนั้นเราพยายามทำหลายอย่างให้ซื่อตรงกับหนังสือ เราถึงกับทำฟันกระต่ายปลอมให้เอ็มม่าใส่ด้วย เพราะในหนังสือระบุว่าเฮอร์ไมโอนี่มีฟันหน้าค่อนข้างใหญ่และเธอมักถูกล้อเรื่องนี้บ่อย ๆ ถ้าคุณไปย้อนดูดี ๆ จะเห็นว่าในฉากนั้นฟันเธอเป็นแบบนั้น แต่ปรากฏว่าพอใส่ฟันแล้วเอ็มม่าพูดไม่ถนัดเราก็เลยไม่ได้ทำแบบนั้นอีกหลังจากนั้น  นั่นแหละ แล้วตอนที่แดนหันกลับไปมองฮอกวอตส์แล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้กลับบ้านหรอก เอาจริง ๆ “ ผมจำได้ว่าหันไปสบตากับ เดวิด เฮย์แมน แล้วก็พูด “คัท” เราสองคนนี่น้ำตาคลอเบ้าเลย ตอนนั้นแบบมันงดงามมาก แดนโคตรมหัศจรรย์

“เธอเป็นพ่อมด แฮร์รี่” กลายเป็นวรรคทองประจำเรื่องไปเลย มีการเตรียมการอะไรพิเศษเกี่ยวกับฉากเปิดตัวแฮกริดนี้ไหม?

ไม่เชิงนะครับ เพราะส่วนใหญ่งานของผมคือดูแลการแสดงของเด็ก ๆ ส่วนนักแสดงผู้ใหญ่นี่แทบไม่ต้องห่วงเลย ผมโชคดีมากที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงเจ๋ง ๆ ทั้ง อลัน ริคแมน (สเนป), ร็อบบี้ โคลเทรน (แฮกริด), ริชาร์ด แฮร์ริส (ดัมเบิลดอร์) แล้วก็ แม็กกี้ สมิท (มักกอนนากัล) พวกเขามืออาชีพมาก ๆ ตอนร็อบบี้พูด “เธอเป็นพ่อมด แฮร์รี่” นี่คือใช้ได้ตั้งแต่เทคแรกเลย ถึงจะถ่ายสำรองไว้สองเทคก็เถอะ แต่เขาดึงความเป็นตัวละครออกมาได้ตั้งแต่เทคแรก… อลัน ริคแมน ก็เหมือนกัน เขาได้ไปดินเนอร์กับโจครั้งนึงและได้รู้ว่าตัวละครของสเนปจะไปลงเอยที่จุดไหน เขาเลยแสดงเป็นสเนปได้ดีมาก ๆ ตั้งแต่เข้าฉากครั้งแรก

เจ.เค. บอกใบ้อะไรคุณเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเล่มต่อ ๆ ไปหรือเปล่า?

ไม่เลย ไม่ได้เจาะลึกขนาดนั้น อันที่จริงผมถามอลันด้วยว่าให้ช่วยบอกทีว่าตัวละครของเขามันอะไรยังไง แล้วเขาก็ตอบว่า “ไว้ใจผมเถอะ” ซึ่งผมก็ต้องไว้ใจเขาเพราะเขารู้ดียิ่งกว่าผู้กำกับอย่างผมว่าตัวละครนี้จะดำเนินไปสู่จุดไหน ผมไม่เคยรู้สึกว่าการแสดงของอลันนั้นโอเวอร์หรือประหลาดเลย เขาคือสเนปที่สมบูรณ์แบบ เพราะงั้นโดยรวมแล้วด้วยการที่มี สตีฟ โคลฟส์ กับผม ร่วมกันทำงาน โจก็แค่ให้แนวทางพื้นฐานว่าหนังสือจะดำเนินเรื่องไปยังไงเท่านั้น นอกนั้นก็ไม่ได้บอกอะไรเพิ่ม

ทำยังไงให้ตัวร้ายอย่างโวลเดอมอร์หรือสเนปดูน่ากลัวในหนังสำหรับเด็ก?

เราจัดเต็มไปเลย คือทุกเรื่องที่ผมกำกับผมคิดเสมอว่ากำลังทำให้ผู้ใหญ่ดูนะ อาจฟังดูแปลกหน่อยแต่ผมอยากให้หนังพอตเตอร์นั้นเหมาะกับทั้งเด็ก ๆ และคุณพ่อคุณแม่ด้วย  เรื่องของเรื่องคือทำให้มันดาร์กเกินเบอร์ไปให้สุดเลย เพราะคุณสามารถตัดมันออกทีหลังได้ การฉายรอบทดลอง (Test Screening) มันถึงสำคัญไง   นอกจากนี้ตอนนั้นที่เราทำหนังภาคแรกก็เพิ่งมีหนังสือออกมาแค่ 3 เล่มเท่านั้น ซึ่งโจบอกเราว่าเนื้อหาในหนังสือจะมืดมนลงเรื่อย ๆ เรารู้ว่าภาคแรกไม่ค่อยมืดหม่นเท่าไร แต่ถ้าดูภาคสองคุณจะรู้สึกได้ว่าโทนมันหม่นลง

เอาจริงถือว่าหนังค่อนข้างยาวมากสำหรับมาตรฐานหนังเด็ก ทางค่ายหนังตอบสนองอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม?

ไม่เลย ทำหนังทีไรคนที่บ่นว่ายาวมักเป็นพ่อแม่ ส่วนเด็ก ๆ ชอบบ่นว่าสั้นไปทุกที ขนาดตอนฉายรอบทดลองเด็ก ๆ ยังไม่ค่อยอยากลุกไปห้องน้ำกันเลย กลัวจะพลาดฉากโน้นฉากนี้

ตอนนี้คุณยังคงติดต่อกับพวกนักแสดงอยู่ไหม?

ผมคุยกับแดนบ่อยมาก ทอมก็คุยบ่อยเหมือนกัน

ช่วงที่ผ่านมา เจ.เค.โรว์ลิ่ง ให้ความเห็นเกี่ยวกับคนข้ามเพศซึ่งทำให้แฟน ๆ หลายคนไม่พอใจนักและรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ขัดกับธีมการยอมรับความแตกต่างและความเมตตาสงสารในเรื่องแฮร์รี่พอสมควร คุณอยากบอกอะไรแฟน ๆ ในประเด็นนี้ไหม?

ผมไม่ขอให้ความเห็นแล้วกันครับ ไม่อยากมีส่วนในประเด็นนี้ โทษที

คำถามสุดท้าย ตอนนี้ก็มีหนังสัตว์มหัศจรรย์ออกมาแล้ว คุณคิดว่าอนาคตจะมีหนังเกี่ยวกับแฮร์รี่ออกมาอีกหรือเปล่า?

ผมอยากกำกับ “เด็กต้องคำสาป” นะ ตอนนี้พวกเด็ก ๆ คงอายุจริงเท่าตัวละครแล้วเหมือนกัน ต้องสนุกมากแน่


ที่มา: Variety