The Leaky Cauldron และ MuggleNet สัมภาษณ์ Joanne Kathleen Rowling: ตอนที่ 1

เมลิซซา แอเนลลี (Melissa Anelli) ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ The Leaky Cauldron และ เอเมอร์สัน สปาร์ซ (Emerson Spartz) ผู้ก่อตั้ง MuggleNet สัมภาษณ์ Joanne Kathleen Rowling (เจ.เค.โรว์ลิ่ง) เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2005 (ตอนที่ 1)


เอดินบะระ, สกอตแลนด์
Emerson Spartz, MuggleNet (ES): คุณพูดคุยเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์กับใคร?

JKR: เวลาฉันเขียนงาน ฉันไม่ได้คุยกับใครเลยค่ะ สำหรับฉัน มันถือเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นในการทำงาน ฉันมีกิตติศัพท์ในด้านความสันโดษ ตอนนี้ พอพูดเรื่องนี้ ฉันไม่แน่ใจว่ามันจะจริงไหมในอเมริกา แต่ในอังกฤษ คุณจะไม่ได้อ่านบทความเกี่ยวกับฉันที่ไม่มีคำว่าสันโดษพ่วงอยู่กับชื่อของฉันด้วย ซึ่งฉันอ่านเจอเป็นร้อยครั้งได้และรู้ว่ามันจะต้องมีมากกว่าเดิม แต่ฉันไม่ใช่คนสันโดษสักนิดเลยค่ะ สิ่งที่เขาหมายถึงก็คือฉันเป็นคนชอบปิดบังและฉันไม่ได้ — ฉันชอบปิดบังเพราะสำหรับฉันแล้วมันเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นในการทำงาน ไม่เกี่ยวอะไรกับแฟรนไชส์นี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับการพยายามจะปกป้อง “สินทรัพย์” ฉันเกลียดมาก ๆ ที่มันถูกเรียกว่า “สินทรัพย์” แต่คนอื่น ๆ ก็เรียกมันว่า “สินทรัพย์” แต่มันเป็นเพราะฉันคิดว่าถ้าคุณเอาเรื่องงานไปคุยกับคนอื่นตอนที่คุณกำลังทำมันอยู่ คุณก็มีแนวโน้มจะใช้พลังงานที่คุณต้องการเพื่อทำงานนั้นไปอย่างสิ้นเปลือง

คุณจะได้เจอ และเราต่างก็ได้เจอ คนมากมายที่ไปยืนอยู่ในบาร์และคุยกันเรื่องนิยายที่พวกเขากำลังเขียน แต่ถ้าเขากำลังเขียนจริง ๆ เขาจะอยู่ที่บ้านและเขียนอยู่จริง ๆ บ่อยครั้งฉันจะบอกนีลว่า วันนี้ดีจัง หรือแบบ ฉันเขียนมุกตลกที่ดีด้วย มันทำให้ฉันขำ แต่ฉันจะไม่คุยแบบลงรายละเอียด และจากนั้น เมื่อฉันส่งต้นฉบับให้บรรณาธิการแล้ว และคนคนนั้นก็คือเอ็มม่า ซึ่งเป็นบรรณาธิการของฉันในอังกฤษ และอาร์เธอร์ ที่เป็นบรรณาธิการของฉันในอเมริกา ทั้งคู่จะได้เห็นต้นฉบับพร้อมกัน เขาร่วมงานกันในเรื่องที่ว่าเขาคิดยังไงกับมัน และกลับมาบอกฉันและแนะนำสิ่งต่าง ๆ ให้ฉัน แน่นอนว่ามันรู้สึกได้รับการปลดปล่อยมากเวลาใครได้อ่านมันและได้พูดคุยกันสักที ดังนั้นคุณก็รู้ว่าฉันเก็บงำมันไว้กว่า 18 เดือน ตอนที่ฉันกำลังเขียนอยู่และจากนั้นก็ได้ระบายมันออกมา เพราะคุณอยากจะพูดเรื่องนี้กับใครสักคนในตอนนี้ ดังนั้นเอ็มม่ากับอาร์เธอร์จะเป็นสองคนแรกที่ได้รับฟังการปลดปล่อยของฉัน และจากนั้นมันก็ดีมาก ๆ ที่ได้ฟังว่าพวกเขาคิดยังไง เขามองหนังสือเล่มนี้ในแง่บวกมาก พวกเขาชอบมันจริง ๆ และแน่อยู่แล้วว่าเราก็มีการถกเถียงกันบ้างเหมือนกัน

ES: นี่อาจเป็นคำถามแปลก ๆ แต่คุณอ่านงานของตัวเองกี่ครั้งครับ

JKR: ไม่ได้เป็นคำถามที่แปลกเลยค่ะ เป็นคำถามที่ดีเลยเพราะเมื่อหนังสือถูกตีพิมพ์แล้วฉันก็ไม่ค่อยได้กลับไปอ่าน เรื่องตลกก็คือเวลาฉันหยิบหนังสือมาอ่านเพื่อตรวจสอบความถูกต้องซึ่งฉันได้ทำอยู่บ่อย ๆ ถ้าฉันเริ่มอ่าน ฉันก็จะหยุดไม่ได้ซะเอง แล้วก็อ่านต่อไปอีกหลายหน้า แล้วก็วางมันลง กลับไปทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ แต่ฉันคงไม่… ยกตัวอย่างนะคะ ถ้าฉันกำลังไปแช่น้ำ และอยากเอาอะไรไปอ่าน ฉันจะไม่เลือกหนังสือของตัวเองค่ะ เพราะเหตุนี้เลยมีแฟน ๆ อีกหลายคนที่รู้จักหนังสือดีกว่าฉันอีก ความได้เปรียบเดียวของฉันคือฉันรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง และมีปูมหลังเยอะแยะมากมาย

Melissa Anelli, The Leaky Cauldron (MA): ตอนนี้มีปูมหลังอยู่กี่ลังแล้วคะ

JKR: พูดยากค่ะเพราะฉันเป็นคนไม่เป็นระเบียบเลย แต่ใช่ค่ะ มีหลายลัง ส่วนใหญ่จะอยู่ในสมุดบันทึก เพราะปูมหลังมันทรงคุณค่ามาก ฉันเลยต้องเอามันไว้ในรูปแบบที่ฉันกลับมาหาได้ง่าย เพราะฉันทำของหายเป็นประจำ เราทำหนังสือหายได้ยากกว่าทำแผ่นกระดาษหายค่ะ

ES: ตอนเล่ม 7 วางขาย คุณจะยังเปิดเว็บไซต์ไว้สำหรับตอบคำถามอยู่ไหมครับ

JKR: ค่ะ ฉันไม่คิดว่าเว็บจะปิดลงตอนเที่ยงคืนเมื่อหนังสือเล่ม 7 จบลงนะ ไม่ค่ะ ไม่แน่นอน ฉันรู้สึกว่าฉันอาจจะไม่สามารถตอบทุกคำถามได้ เพราะนิยายไม่ใช่ช่องทางที่ถูกในการ… ยกตัวอย่างนะคะ ทำรายชื่อว่าตัวละครของคุณชอบสีอะไร แต่คนอื่นก็อยากจะรู้รายละเอียดพวกนั้น ดังนั้น ฉันจะไม่ตอบทุกคำถามที่แฟน ๆ ผู้คลั่งไคล้อยากจะรู้เกี่ยวกับนิยาย และเว็บไซต์ก็เป็นอีกทางที่จะตอบได้

อีกอย่าง ฉันคิดว่าคนก็ยังจะมีทฤษฎีเกี่ยวกับตัวละครแม้จะเป็นตอนที่หนังสือเล่ม 7 ออกไปแล้ว เพราะบางคนก็สนใจในตัวละครบางตัวที่ปูมหลังชีวิตไม่ได้สำคัญกับเนื้อเรื่อง มันไม่ใช่จุดสำคัญของเนื้อเรื่อง เลยยังมีเรื่องที่ค้างคามากมายสำหรับการเขียนแฟนฟิกชั่น เหมือนอย่าง เจน ออสเตน ฉันเป็นแฟนตัวยงของเจน ออสเตนและฉันก็อยากรู้เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของตัวละครหลังจบเรื่องเหมือนกัน พวกเขายังมีตัวตนอยู่ ยังใช้ชีวิตต่อไป และคุณก็ติดอยู่กับความสงสัยใช่ไหมล่ะคะ แต่ฉันมั่นใจเท่าที่จะมั่นใจได้ในตอนนี้ว่าเล่มเจ็ดจะเป็นนิยายเล่มสุดท้ายแล้ว ถึงแม้จะมีคนมาทำตาอ้อนวอนเหมือนลูกหมาใส่ฉันว่า “ขออีกเล่มเถอะ!” อยู่หลายคนเลย ค่ะ แต่ฉันก็คิดว่ามันจะจบที่เล่ม 7

ES: 7 เล่มก็ยาวแล้วนะครับ

JKR: ค่ะ ใช่เลย ฉันไม่คิดว่าจะมีใครมาบอกว่าฉันใจปลาซิวนะ ไม่เอาน่า!

MA: ถ้าคุณจะเขียนอะไรอย่างอื่นเกี่ยวกับซีรีส์แฮร์รี่ พอตเตอร์ มันจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวแฮร์รี่เองหรือตัวละครตัวอื่น หรือเป็นหนังสืออ้างอิงคะ

JKR: สิ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดซึ่งฉันพูดมาบ้างแล้วก่อนหน้านี้ ก็คือเป็นสารานุกรมที่ฉันจะเล่นสนุกกับตัวละครรอง ๆ ได้และฉันก็อาจจะเขียนชีวประวัติของตัวละครทุกตัวได้

MA: โอเค คำถามสำคัญสุด ๆ เกี่ยวกับเล่ม 6 สเนปเป็นคนร้ายไหม

JKR: [เกือบหลุดหัวเราะ] เอ่อ คุณได้อ่านแล้วนี่ คิดว่ายังไงคะ

ES: เธออยากให้คุณตอบให้ชัด ๆ

MA: ก็มันมีทฤษฎีสมคบคิดอยู่ และจะมีคนที่จะอ้างว่า–

JKR: ยังติดอยู่กับความหวังลม ๆ แล้ง ๆ [หัวเราะ]

ES: ใช่!

MA: ใช่!

ES: เหมือนชิปเปอร์บางคู่ที่เรารู้!

[หัวเราะ]

JKR: เอ่อ โอเค ความสัมพันธ์ของแฮร์รี่กับสเนปแบบส่วนตัวก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความสัมพันธ์ของแฮร์รี่กับโวลเดอมอร์ ฉันตอบคำถามนั้นไม่ได้หรอกเพราะมันจะเป็นการสปอยล์ ใช่ไหมล่ะคะ ไม่ว่าฉันจะพูดอะไร แน่นอนว่ามันจะต้องส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาต้องมาเจอกันอีกครั้ง ฉันเลยบอกไม่ได้ และเอาเข้าจริง มันจะยิ่งทำให้เกิดทฤษฎีขึ้นอีก 10,000 ทฤษฎี และฉันคงโดนไล่ให้ไปอ่านหนังสืออย่างหนักเลย [หัวเราะ] ฉันน่ะชั่วร้ายแต่ฉันก็ชอบทฤษฎีนะคะ ฉันชอบทฤษฎีพวกนี้จริง ๆ

ES: ผมรู้ว่าดัมเบิลดอร์เลือกจะมองเห็นข้อดีในตัวของทุกคน แต่บางทีเขาก็ดูจะเชื่อใจมากไปจนถึงขั้นที่ประมาท

JKR: [หัวเราะ] ค่ะ ฉันเห็นด้วย ฉันเห็นด้วย

ES: ทำไมบางคนถึงได้–

JKR: ฉลาด

ES: แต่ตาบอดกับบางสิ่ง

JKR: มันมีรายละเอียดเรื่องนั้นที่จะเปิดเผยในเล่ม 7 ค่ะ แต่ฉันคิดว่ามันแสดงให้เห็นแล้ว โดยเฉพาะในเล่ม 5 และ 6 ว่า พลังสมองอันยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้ช่วยปกป้องคุณจากความผิดพลาดทางอารมณ์ และฉันว่าดัมเบิลดอร์เป็นตัวอย่างของเรื่องนี้จริง ๆ ที่จริงแล้ว ฉันมักจะคิดว่าการฉลาดมาก ๆ ก็อาจจะสร้างปัญหาบางอย่างขึ้น และคุณก็เห็นได้จากในหนังสือ เพราะใครล่ะจะมาเป็นคนที่เท่าเทียมกับเขา ใครล่ะจะมาเป็นเพื่อนคู่คิดเขา ใครล่ะจะมาเป็นคู่หูของเขา เขาไม่มีสิ่งเหล่านั้นอยู่เลย เขามีแต่เป็นผู้ให้เสมอ เขาเป็นคนเดียวที่มีรอบรู้และปราดเปรื่องอยู่เสมอ ฉันเลยคิดว่า ในขณะที่ฉันอยากให้ผู้อ่านยอมรับว่ามักกอนนากัลคือคนที่เหมาะที่จะเข้ามาจัดการเป็นคนที่สอง เธอก็ยังไม่เท่าเทียมกับเขา คุณได้ฟังคำตอบที่ค่อนข้างอ้อมค้อม แต่ฉันบอกมากกว่านี้ไม่ได้

ES:ไม่นะครับ มันเป็นคำตอบที่ดีแล้ว

 MA: น่าสนใจนะคะ เรื่องที่ดัมเบิลดอร์เป็นคนโดดเดี่ยว

JKR: ฉันมองว่าเขาเป็นคนแปลกแยก และบางคนก็เคยบอกฉันอย่างถูกต้อง ว่าเขาเป็นคนสันโดษ น้องสาวของฉันบอกฉันในช่วงเวลาที่น่าหงุดหงิด มันเป็นตอนที่แฮกริดเก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านหลังจากที่ริต้า สกีตเตอร์เขียนบทความว่าเขาเป็นพวกครึ่งพันธุ์ แล้วน้องสาวของฉันก็บอกฉันว่า “ทำไมดัมเบิลดอร์ไม่ทำอะไรก่อนหน้านี้” และฉันก็บอกว่า เขาจำเป็นต้องปล่อยให้แฮกริดกังวลใจไปสักพักและดูว่าเขาจะสามารถออกมาจากจุดนั้นได้เองไหม เพราะถ้าเขาออกมาจากจุดนั้นได้เอง เขาก็จะต้องดีขึ้นแน่ “งั้นเขาก็แปลกแยกเกินไป เขาเย็นชาเกินไป เหมือนเธอเลย” เธอว่า! [หัวเราะ] เธอจะบอกว่าเธอคงจะรีบเข้าไปช่วยในทันทีในขณะที่ฉันอาจจะถอยออกไปนิด และบอกว่า “มารอดูกันเถอะว่าเขาจะแก้ปัญหาได้ไหม” ฉันคงไม่ปล่อยเขาไว้เป็นสัปดาห์หรอก อาจจะปล่อยไว้ตอนช่วงบ่าย แต่เธอคงจะวิ่งตามเขาเข้าไปในกระท่อมเลย

ES: นี่คือหนึ่งในคำถามที่ผมอยากถามมากตั้งแต่หนังสือเล่ม 3 ทำไมโวลเดอมอร์ให้โอกาสในการมีชีวิตอยู่กับลิลี่หลายครั้ง เขาจะยอมไว้ชีวิตเธอจริง ๆ เหรอ

JKR: หืมมมม

ES: ทำไมล่ะ

JKR: [เงียบ] ฉันบอกไม่ได้หรอก เขาให้ทางเลือกจริง ๆ คุณพูดถูก คุณไม่อยากถามฉันเหรอว่าทำไมการตายของเจมส์ไม่ได้ช่วยปกป้องลิลี่กับแฮร์รี่ นั่นแหละคือคำตอบ คุณเพิ่งตอบคำถามของตัวเอง เพราะเธอจะมีชีวิตอยู่ก็ได้แต่เลือกที่จะตาย ส่วนเจมส์ยังไงก็ถูกฆ่าอยู่แล้ว เข้าใจที่ฉันพูดไหมคะ ฉันไม่ได้บอกว่าเจมส์ไม่พร้อมจะเสียสละนะ เขาก็ตายเพราะพยายามจะปกป้องครอบครัว แต่ยังไงเขาก็จะถูกฆ่าอยู่ดี เขาไม่มี— เขาไม่ได้รับตัวเลือกเลย เขาวิ่งเข้าไปหามันเหมือนสัญชาตญาณสัตว์ ฉันว่ามันมีความแตกต่างกันในเรื่องของความกล้าหาญ เจมส์กล้าหาญแบบสุดโต่ง แต่ความกล้าหาญของลิลี่คือ ฉันคิดว่าในกรณีนี้ มันมากกว่า เพราะเธอจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ก็ได้ แม่คนไหนก็ตาม แม่ทั่ว ๆ ไปคนไหนก็ตาม ก็จะทำแบบที่ลิลี่ทำ ในกรณีนั้น ความกล้าหาญของเธอก็เหมือนกับสัญชาตญาณสัตว์เหมือนกัน แต่เธอยังมีเวลาให้เลือก เจมส์ไม่มี มันเหมือนกับมีผู้บุกรุกเข้ามาในบ้านคุณ ใช่ไหมคะ คุณจะพุ่งเข้าหาเขาตามสัญชาตญาณ แต่ถ้าเขาบอกคุณอย่างเลือดเย็นว่า “ออกไปให้พ้น” คุณจะทำยังไง ฉันหมายถึง ฉันไม่คิดว่าจะมีแม่คนไหนที่จะไม่ปกป้องลูก มันตอบคำถามได้ไหมคะ เธอสละชีวิตตัวเองอย่างมีสติ เธอมีตัวเลือกที่ชัดเจน–

ES: แต่เจมส์ไม่

JKR: เขาได้ตายไปเพราะพยายามปกป้องแฮร์รี่โดยที่เลือกได้ไหมคะ ไม่ มันมีความแตกต่างอยู่ลึก ๆ และมีบางอย่างมากกว่านั้นนิดหน่อย แต่นี่ก็คือคำตอบส่วนใหญ่ค่ะ

MA: เธอรู้อะไรเกี่ยวกับผลที่อาจเกิดขึ้นจากการยืนขวางแฮร์รี่ไว้ไหม

JKR: ไม่ค่ะ เพราะอย่างที่ฉันพยายามบอกอย่างชัดเจนไปในเรื่อง ว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่เคยมีใครมีชีวิตรอดมาก่อน ดังนั้นเลยไม่มีใครที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

MA: งั้นก็ไม่มีใคร ทั้งโวลเดอมอร์และคนอื่น ๆ ที่ใช้อะวาดา เคดาฟรา ที่มอบตัวเลือกให้ใครสักคน แต่พวกเขาเลือกที่จะตาย–

JKR: พวกเขาอาจจะได้รับตัวเลือก แต่ไม่ใช่ในแบบเดียวกัน


ที่มา: http://www.accio-quote.org/articles/2005/0705-tlc_mugglenet-anelli-1.htm