เรื่องราวความกลัวของ “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร”

เป็นที่ทราบกันดีในโลกเวทมนตร์ว่า ลอร์ดโวลเดอมอร์ หรือสมัยนั้นเรียกว่า ‘คนที่คุณก็รู้ว่าใคร’ มีพลังอำนาจด้านมืดที่ร้ายกาจ และเป็นนักเรียนฮอกวอตส์บ้านสลิธีรินที่เก่งมาแต่ไหนแต่ไรมา สิ่งที่บ่งบอกความเก่งที่สุดของเขาคือ “รางวัลนักเรียนดีเด่น”

ทอม มาร์โวโล ริดเดิ้ล ในสมัยเด็ก เป็นเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่คร่ำเคร่งกับการเรียน อยู่กับตำรา และห้องสมุด ด้วยความเก่งกาจโดดเด่นของเขา ทำให้เป็นที่โปรดปรานของศาสตราจารย์ซลักฮอร์น และศาสตราจารย์ท่านอื่นๆ ในสมัยนั้น แม้แต่ดัมเบิลดอร์เองก็ยังเคยพูดว่า “เขาเก่ง”

แต่จนแล้ว จนรอด คำพูดที่เฮอร์ไมโอนี่พูดว่า “ฉันก็แค่เก่งในตำรา” ในแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ ทำให้เกิดคำถาม เกิดการมองอีกมุม ว่าความเก่งที่เขาได้มานั้น จุดมุ่งหมายจากความเก่งของเขาคืออะไร?

แฟนๆ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ทราบดีว่า ทอม ริดเดิ้ล เป็นเด็กหนุ่มที่เกิดจากแม่มด (ที่อดีตเคยถูกมองว่าเป็นสควิบ) และพ่อที่เป็นมักเกิ้ล ความอัปยศในสายเลือดที่มีเลือดมักเกิ้ลเจือปน ทำให้เขาขีดกรอบให้กับความเป็นพ่อในตัวเขาว่า “ต่ำต้อยและน่ารังเกียจ” ทั้งที่จริงแล้ว เลือดไม่มีวันรีดออกจากตัวได้จนหมด ไม่มีวัน ไม่ว่าจะเลือดอะไรก็ตาม แต่กระนั้นชายผู้เก่งกาจ เลือกดูหมิ่นพวกมักเกิ้ล จากความจงเกลียดจงชังพ่อของตัวเอง และดูถูกเลือดของตัวเอง ทั้งที่ตัวเองก็มีอยู่ ตั้งแต่วันที่ไม่มีสู่วันที่มีฮอร์ครักซ์ ตั้งแต่วันที่เขาถูกคาถาพิฆาตสะท้อนกลับ และจนวันที่เขาหวนคืนชีพด้วยความช่วยเหลือจากหางหนอน โวลเดอมอร์ก็ยังต้องใช้กระดูกของพ่อที่เป็นมักเกิ้ล อย่างไม่นึกละอาย… นี่คงเป็นความอ่อนแอ และยึดถือในสิ่งที่ไม่ควรยึด คือ ความเป็นเลือดบริสุทธ์อันสูงส่ง และเป็นความกลัวแรกที่เขามีทันทีที่รู้ว่าพ่อเขาเป็นมักเกิ้ล และแม่เขาเป็นแม่มดเลือดบริสุทธิ์ที่สืบทอดมาจากซัลลาซาร์ สลิธีริน กลัวที่ใครต่อใครรู้ว่าเขาก็เกิดจากมักเกิ้ล!

tomriddle

ในวันที่เขาได้เข้าเรียนฮอกวอตส์ และกลายเป็นที่เชิดหน้าชูตา ความบ้าในอำนาจ และชื่อเสียง ทำให้เขาหลงระเริง และคาดหวังจะเป็นผู้ครอบครองโลกในที่สุด…

เป็นความน่าแปลก ที่ตัวร้ายไม่ว่าจะในโลกมักเกิ้ล หรือโลกเวทมนตร์ ล้วนแต่มีเป้าหมายคือครองโลก พวกเขาไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ที่จะต้องเครียด กดดัน และอยู่ด้วยความหวาดระแวง พวกเขาเหล่านั้นรวมถึงโวลเดอมอร์ ปรารถนาเพียงให้ทุกความคิดของเขา ถูกยอมรับและทำตามความต้องการเขาคนเดียว เป็นความรู้สึกมีความสุขชั่วขณะของคนที่ชอบเผด็จการ สุขใจที่ได้อยู่เหนือผู้อื่น

เราเห็นว่าตัวร้ายทุกตัว ไม่เว้นแม้แต่โวลเดอมอร์ ดูน่ากลัว และทรงพลังเกินต้านทาน แต่ในความจริงแท้ของมนตร์ดำและศาสตร์มืด คือ ของเหล่านี้รุนแรง แต่เปราะบาง คุณจะรู้สึกปลอดภัยและยิ่งใหญ่ชั่วขณะ แต่วันที่มันหันมาทำร้ายคุณอย่างที่คุณไม่ทันตั้งตัว คุณก็แทบจะล้มทั้งยืน

เรารับรู้ดีกว่า หนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ใจความสำคัญอยู่ที่ ความรัก และความตาย เราปฎิเสธไม่ได้ว่า สิ่งเรานี้มีอยู่กับเราทุกช่วงเวลาของชีวิต

โวลเดอมอร์เองก็มี แต่ไม่เคยรับรู้หรือให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ “รัก” คำเดียวสั้นๆ ที่เขาไม่เคยมี ทั้งที่มือซ้ายของเขาอย่างเบลลาทริกซ์ เลสแตรงจ์ รักและบูชาเขาแบบถวายหัว แต่เขาก็ไม่เคยรับรู้ถึงสิ่งนั้น และมีมุมมองแปลกประหลาดคือ “การมีความรักเป็นความอ่อนแอ และบอบบางของมนุษย์” แต่ก็ว่าไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้เกิดจากความรักตั้งแต่ต้น และดูถูกสิ่งที่แม่ของเขามอบให้กับพ่อมักเกิ้ลสกปรกๆ

หากผู้อ่านเคยอ่านบทนิทาน “หัวใจขึ้นขนของผู้วิเศษ” นั่นคงเป็นเรื่องที่แสดงออกถึงความกระด้างในความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทุกคน การมุ่งสู่อำนาจ จะเป็นต้องยึดมั่นในปลายทาง และหาหนทางไปให้ถึงและเร็วที่สุด โวลเดอมอร์กลัวความตายที่อาจจะมาเยือนเขาเมื่อไหร่ก็ได้ เขาจึงพยายามหาทุกวิถีทางที่จะเอาชนะความตายได้ ทั้งๆ ที่เขาควรจะเรียนรู้ความตาย และยอมรับมันอย่างปกติ เขาเลือกที่จะสุขปลอมๆ ในโลกที่สักวันเขาจะยิ่งใหญ่ที่สุด ความเป็นอมตะจะมีอะไรดีเล่า หากอมตะนั้น ท้ายสุดแล้วเหลือเพียงเราเพียงลำพัง หรือไม่ก็อยู่กับเศษซากที่ปลุกขึ้นมาให้พูดคุยด้วยจากความตาย เขามองไม่เห็นหรือว่า ปลายทางที่อยู่ลำพังนั้นวังเวง เศร้าหมอง และน่าเบื่อแค่ไหน แต่ก็อีกเขาไม่เคยมีความคิดที่จะต้องพึ่งพาใคร

ในอีกแง่มุม ตัวละครอย่างโวลเดอมอร์ ก็สะท้อนจิตสำนึกของคนเราได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกอยากชนะ อยากสำเร็จ อยากมีชื่อเสียง เป็นสิ่งหวานหอมที่ใครก็ปรารถนา แต่มากน้อยแตกต่างกัน

ในทางศาสนา Lord เป็นคำที่ใช้เรียกถึง พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงน่ารัก และดีงามเสมอมา ในฉบับภาษาอังกฤษ โวลเดอมอร์ ถูกเรียกในฐานะของ Dark Lord หรือจอมมาร เป็นการบูชาเปรียบเทียบให้โวลเดอมอร์ เป็นราวกับ ผู้ทรงสรรพานุภาพด้านมืด เป็นความชั่วร้ายหาที่สุดไม่ได้ อันน่าจะหมายถึง ปีศาจจอมล่อลวงอย่าง ซาตาน

แฟน แฮร์รี่ พอตเตอร์ ย่อมรู้อีกว่า ในหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์นั้น ผู้เขียนนำเสนอแง่มุมทางคริสต์ศาสนาบ่อยครั้ง โวลเดอมอร์เป็นตัวแทนด้านมืดที่ชั่วร้ายที่สุด ที่มาเพื่อหาสมัครพรรคพวกไปสร้างความแข็งแกร่งให้ ความแข็งแกร่งที่ป้องกันอะไรเขาไม่ได้เลย เพราะลึกๆ แล้ว เขาก็ยังกลัวความตายอยู่ดี ไม่ใช่ความตายเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงความกลัวต่อการพ่ายแพ้ และการถูกทรยศหักหลังด้วย

โวลเดอมอร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดย เจ.เค.โรว์ลิ่ง เป็นเสมือนเครื่องบอกว่า มนุษย์เรานั้นเข้าหาความชั่วร้ายได้ง่ายดายเพียงใด

คงจำกันได้ ในวันที่เขาพบว่าตัวเองถูกทิ้งให้อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาเลือกที่จะไม่สุงสิงใคร และเก็บตัวเงียบ ใครก็ตามที่ทำให้เขาหงุดหงิดไม่พอใจ จะถูกทำร้ายด้วยสิ่งที่เขาไม่เคยรู้ว่าคือเวทมนตร์ แต่เขารู้ว่าทำได้

romriddle

จากตอนนั้น เป็นการสะท้อนความกลัวพื้นฐานของมนุษย์ได้ดี คือ กลัวการถูกรู้ กลัวความคิดตัวเอง เขาเลือกที่จะไม่สุงสิงกับใคร เพราะการอยู่ลำพัง ดูจะทำให้เขาปลอดภัยจากคนอื่นๆ ได้มากที่สุด แต่กลับไม่ปลอดภัยกับความคิดของตัวเอง

ความกลัวของโวลเดอมอร์ เริ่มต้นจากการไม่กล้าเผชิญหน้า และหาหนทางหลบเลี่ยงมันทุกวิธี

– หลบเลี่ยงความเป็นเลือดผสม ด้วยการต่อต้านพวกมักเกิ้ลและเลือดผสมแบบตัวเอง
– ปิดปากทุกคนที่ขุดคุ้ยความลับ แม้ผู้เสพความตายบางคนจะรับรู้แต่ก็ไม่มีใครกล้าปริปาก
– กลัวความตาย อย่างไม่กล้าเผชิญหน้า
– เชื่อในโชคชะตา กลัวว่าคำพยากรณ์นั้นจะเป็นความจริงและส่งผลร้ายต่อตัวเอง
– ความไม่อิสระของโวลเดอมอร์ คือ ไม่เป็นอิสระตามธรรมชาติ คือ ยึดในสิ่งที่ไม่ควรยึด ในที่นี่คือยึดชีวิตให้ถาวร
– กลัวการถูกเอาชนะ
– กลัวการถูกลืม
– กลัวแม้กระทั่งความรัก

ดัมเบิลดอร์ เป็นพ่อมดคนต้นๆ ที่โวลเดอมอร์ให้ความเกรงกลัว เขารู้สึกว่าดัมเบิลดอร์รู้จักตัวเขามากเกินไป เขากลัวการถูกรู้ และเข้าใจเขามากเกินไป เพราะนั่นทำให้คนอย่างดัมเบิลดอร์มองเห็นจุดอ่อนที่สุดของเขา

ไม่มีใครในโลกนี้ไม่เคยกลัว หลายคนถูกความกลัวเล่นงานจึงต้องแสดงความกล้าออกมา โวลเดอมอร์เองก็ถูกความกลัวเล่นงาน จนเขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากความกลัวนั้น เขากล้าที่จะแบ่งวิญญาณเป็น 7 ชิ้นทั้งที่มันเกินความสามารถทั่วไปของมนุษย์หรือพ่อมดแม่มดจะทำได้ แต่เขาก็ทำ เพราะกลัวเหลือเกินกว่าความลับจะแตก กลัวการถูกแทงข้างหลัง และกลัวไม่มีโอกาส นี่เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติความกล้าหาญของเด็กสลิธีริน หลายครั้งเราจะรู้สึกได้ว่า กริฟฟินดอร์ และสลิธีรินนั้นมีความคล้ายคลึงกันมาก แตกต่างกันก็แค่กริฟฟินดอร์ดูจะกล้าหาญในทางดี แต่สลิธีรินกล้าหาญในทางที่ไม่ดี แต่จริงๆ แล้วความกล้าหาญก็เหมือนทุกสรรพสิ่ง คือมีสองด้าน และความกลัวก็มีสองด้าน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเผชิญหน้ากับความกลัวนั้นอย่างไร กลัวแล้ววิ่งหนี หรือกลัวแล้วพุ่งเข้าหาเพื่อทลายความกลัว?