บทสัมภาษณ์จาก Harry Potter Reading Club webchat (Harry Potter: Beyond the Page) – 11 ตุลาคม 2012

Scholastic: เมืองที่สวยงามและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์เมืองนี้มีอิทธิพลอย่างไรต่องานเขียนของคุณ?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: มันมีอิทธิพลอยู่บ้างค่ะ อาจไม่มีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ บางสิ่งเกิดขึ้นในหนังสือหากฉันไม่ได้อาศัยอยู่ในเอดินบะระ อย่างเช่น ตอนที่ฉันกำลังมองหานามสกุลของตัวละครตัวหนึ่งซึ่งน่ารำคาญและหยิ่งยโสมากเป็นพิเศษ ชื่อของเขาคือกิลเดอรอย ฉันบังเอิญได้เข้าไปในโบสถ์และได้พบกับคำว่าล็อกฮาร์ต เป็นนามสกุลที่ฟังดูไพเราะนะคะ แน่นอน ฉันกำลังพูดถึงโบสถ์ในเอดินบะระ และนั่นคือที่มาของนามสกุลของกิลเดอรอย

มันก็จะมีเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้อยู่ด้วย อย่างชื่อ บางครั้งเป็นชื่อถนน ที่ให้ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ กับฉันในหนังสือ แต่ต้องบอกว่าฉันเป็นนักเขียนที่สามารถลงมือเขียนที่ไหนก็ได้ ดังนั้นมันจึงเป็นอะไรที่วิเศษมากที่ได้เขียนหนังสือในเมืองที่สวยงามเช่นนี้ – และที่นี่ยังมีร้านกาแฟดีๆ ด้วย เป็นสถานที่ซึ่งฉันได้มานั่งเขียนอะไรเยอะมากและนั่นมันช่วยได้เยอะทีเดียว ฉันอยากบอกว่าผู้คนที่นี่จะเคารพความเป็นส่วนตัวของคุณมากๆ ฉันจึงสามารถนั่งเขียนหนังสือในคาเฟ่เป็นเวลานานได้ ถึงแม้ว่าตอนนั้นแฮร์รี่ พอตเตอร์จะกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางแล้วก็ตาม ฉันรู้สึกขอบคุณเอดินบะระจริงๆ สำหรับสิ่งนี้

Scholastic: คุณมีความคิดไหมว่าทำไมหนังสือเหล่านี้ถึงร่ายมนตร์ใส่ผู้อ่านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้อย่างต่อเนื่อง ในอัตราส่วนที่มหาศาลด้วย?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: ฉันเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ ฉันเคยพูดไว้ว่า “คุณควรจะถามผู้อ่าน พวกเขารู้ว่าตัวเองชอบอะไร” แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาฉันได้เข้าใจเรื่องของการดึงดูดใจดีขึ้นมาเล็กน้อย ฉันต้องบอกว่าโดยส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการได้พูดคุยกับผู้อ่าน ฉันคิดว่าโดยแรกเริ่มแล้วผู้คนจะตกหลุมรักตัวละคร ถึงแม้ว่าเวทมนตร์นั้นจะดูน่าสนุกแค่ไหน และจินตนาการเกี่ยวกับโลกที่ถูกซ่อนเอาไว้ก็ช่างน่าดึงดูด มันน่าสนใจสำหรับฉันในฐานะผู้เขียนและในฐานะผู้ใหญ่ ความคิดที่ว่ายังมีสถานที่อีกสถานที่หนึ่งที่พิเศษซึ่งคุณเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งได้ แต่ฉันก็ยังคงคิดว่าตัวละครนี่แหละเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ผู้คนหลงรักโลกใบนั้น และเหนือสิ่งอื่นใด ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะแฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่ค่ะ

Scholastic: การเขียนหนังสือเป็นความใฝ่ฝันของคุณมาโดยตลอดหรือเปล่า?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: ตลอด ตลอดเวลาค่ะ ฉันนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเคยตระหนักรู้ว่าตัวเธอเองมันต้องหาเลี้ยงชีพด้วยวิธีอะไรสักอย่างแล้วไม่นึกอยากจะทำอาชีพนักเขียน ซึ่งฉันไม่เคยคิดถึงหนทางนั้นเลย ฉันรู้ พ่อแม่ของฉันไม่เห็นด้วยว่านี่จะเป็นการใช้ชีวิตที่มั่นคง แต่มันคือสิ่งที่ฉันต้องการทำมาโดยตลอด ในส่วนลึกของใจฉัน ฉันรู้ดีว่าฉันต้องพยายามให้หนักมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ตัวเองได้เขียนหนังสือ

Scholastic: คุณเสกสรรเรื่องราวตั้งแต่เด็กเลยใช่ไหม?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: ใช่ค่ะ หนังสือเล่มแรกที่ฉันเขียนตอนอายุหกขวบ มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับกระต่าย ชื่อเรื่องว่า กระต่าย

Scholastic: ผมอยากเห็นจัง

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: มันไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ แต่ถ้าให้ระลึกถึงความหลัง สิ่งที่ฉันประทับใจก็คือการที่ฉันเขียนมันจนจบ ฉันคิดว่านี่คือเครื่องหมายของใครก็ตามที่อยากเขียนจริงๆ เพราะการเริ่มต้นเรื่องราวนั้นง่ายมากๆ แต่การจบเรื่องราวไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด

เด็กนักเรียน: ช่วงที่คุณเติบโตขึ้น คุณมีครูที่คอยสนับสนุนให้คุณได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์เป็นพิเศษไหม?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: ฉันมีครูหลายคนเลยที่สนับสนุนให้ฉันเขียน ฉันมีครูสมัยเรียนประถมอยู่สองคนที่เอางานของฉันขึ้นมาอ่านหน้าชั้นเรียน มันทำให้ฉันรู้สึกมหัศจรรย์มากๆ พวกเขาทำมันจริงๆ และนั่นเป็นสิ่งที่โผล่มาจากความทรงจำของฉัน ความรู้สึกภาคภูมิใจในงานเขียนของฉันถูกอ่านให้กับเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ มันเป็นอะไรที่มีค่ามากสำหรับฉัน ฉันมีครูคนหนึ่งที่แก่กว่าฉันเล็กน้อยชื่อ ลูซี่ เชพเพิร์ด (Lucy Shepard) ชื่อของเธอผุดออกมาจากริมฝีปากของฉันโดยทันที เพราะฉันเพิ่งได้พบเธอ ฉันได้ร่วมงานหนึ่งและเธอมาในงานนี้ด้วย

เธอสอนฉันตอนที่ฉันเป็นวัยรุ่น เธอเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับดัมเบิลดอร์และมักกอนนากัลในหนังสือ เธอสอนอะไรให้กับฉันนอกเหนือไปจากที่สอนฉันเรื่องวรรณกรรม เธอสอนเรื่องการใช้ชีวิต เธอเป็นตัวอย่างยอดเยี่ยมสำหรับผู้หญิงที่หลักแหลม และเป็นคนที่ยึดมั่นในตัวเองและหลักการของเธอ เธอเป็นแบบอย่างชั้นยอด

Scholastic: และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งเช่นกันในตอนที่คุณยังเด็ก…

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: ที่สุดแล้ว คุณจะไม่ลืมครูที่พูดกับคุณว่า “เธอสามารถทำมันได้”

Scholastic: คุณพอจะจำประโยคแรกที่คุณเขียนในหนังสือได้ไหม และประโยคสุดท้ายนี้เขียนเมื่อไหร่? ระยะห่างระหว่างสองประโยคนี้ยาวนานแค่ไหน?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: ฉันรู้ว่าทั้งสองอย่างห่างกัน 17 ปี ฉันรู้ว่าฉันเขียนเครื่องรางยมทูตจบในปี 2007 ฉันควรจะพูดว่าฉันแก้ไขเสร็จมากกว่า ฉันบอกคุณไม่ได้ว่าคำสุดท้ายที่สุดที่ฉันเขียนคืออะไร เพราะตอนที่อยู่ในขั้นตอนการตรวจแก้คุณจะพุ่งเข้าออกข้อมูลจำนวนมาก  ประโยคแรกที่ฉันเขียนฉันยังเก็บเอาไว้ ถ้าเราอยู่ข้างๆ กองโน้ตแรกสุดฉันจะหยิบมาให้ดูเลย มันเป็นอะไรที่แตกต่างมากกับประโยคแรกที่ปรากฏในหนังสือที่ตีพิมพ์ ฉันไม่สามารถยกประโยคนั้นมาพูดได้อย่างแม่นยำ แต่มันเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่เรียกว่า ดาร์กส์โฮลโล่ (Dark’s Hollow) และดาร์กส์โฮลโล่ก็กลายมาเป็นก็อดดริกส์โฮลโล่ เพราะฉะนั้นในฉบับแรกสุดของบทที่หนึ่งใน แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ ศิลาอาถรรพ์ คุณจะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในก็อดดริกส์โฮลโล่ ซึ่งในความเป็นจริงมันมาปรากฏในเล่มสุดท้ายของนิยายชุดนี้ คุณไม่ได้เห็นเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในก็อดดริกส์โฮลโล่จนผ่านมานานมาก

Scholastic: หนึ่งในช่วงเวลาที่คุณชอบที่สุดตลอด 17 ปีที่ผ่านมานี้คืออะไร?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: มีเยอะมากเลย ในหนังสือ ถ้าเรากำลังพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่อง ฉันรู้ว่าฉันกำลังจะอ่านข้อความหนึ่งในนั้น หนึ่งในส่วนที่ฉันชอบมากๆ จากเล่มแรก แต่มันก็ยังมีอีกเยอะ การปรากฏตัวครั้งแรกของลูน่า เพราะฉันรักลูน่า เลิฟกู๊ดมาก และฉันเฝ้ารอที่จะได้เขียนเกี่ยวกับเธอ ฉากสุสาน ฉันต้องระวังอย่างมากในการตอบคำถามสำหรับคนที่ยังอ่านไม่จบเล่มสุดท้าย แต่ด้วยเหตุผลที่แตกต่าง ฉากสุสานในภาคถ้วยอัคนีมันเป็นฉากที่ยอดเยี่ยมที่ได้เขียน เพราะฉันมีความตั้งใจอยากจะเขียนถึงตอนนี้มาหลายปีตั้งแต่ตอนที่ฉันได้เริ่มลงมือเขียน มันน่าพอใจมาก บางตอนก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่ฉันยังจำได้ดีว่าฉันสนุกแค่ไหนที่ได้เขียนบทกลอนตลกๆ และอะไรต่อมิอะไรที่พีฟส์พูด มันสนุกตลอดเวลาที่ได้เขียนค่ะ

Scholastic: แล้วช่วงเวลาที่คุณชอบมากเป็นพิเศษโดยส่วนตัวในช่วงเวลา 17 ปีที่ผ่านมาล่ะ?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: โดยส่วนตัวแล้ว ในฐานะผู้เขียนมันมีหลายเรื่องมากค่ะ แต่ฉันคิดว่าการไปอเมริกาครั้งที่สองของฉันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อจริงๆ เพราะว่าตอนนั้นแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้กลายเป็นที่นิยมอย่างมากไปแล้ว ฉันไม่เคยสัมผัสกับความนิยมแบบที่พวกเขาสัมผัสว่าเป็นอย่างไร – ไม่เคยสัมผัสด้วยตัวเองมาก่อน ฉันยังจำได้ตอนที่นั่งอยู่ในรถเพื่อไปยังงานแจกลายเซ็น ฉันเห็นผู้คนยืนเรียงแถวเต็มไปหมด แล้วฉันก็หันไปถามคริส โมแรน (Kris Moran) เธอทำงานให้กับ Scholastic และตอนนี้เราได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน เรานั่งกันอยู่ในรถ แล้วฉันก็พูดขึ้นมาว่า “คริส นี่มันมีของขายลดราคาอยู่เหรอ?” และเธอก็มองมาที่ฉัน “เธอจะบ้าหรือไง? นี่น่ะสำหรับเธอ” ฉันจะไม่มีวันลืมช่วงเวลานั้นเลย นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันเข้าใจอย่างแท้จริงว่าสิ่งใดได้เกิดขึ้น มันช่างแสนวิเศษและในขณะเดียวกันก็น่าตื่นกลัว มันน่ากลัวเพราะฉันไม่ได้คาดหวังถึงสิ่งนั้นมาก่อนเลย ถึงแม้ว่าการไปอเมริกาครั้งก่อนจะมีผู้คนสักร้อยสองร้อยปรากฏตัวมาบ้าง แต่มันก็ไม่ได้เป็นที่คลั่งไคล้หนักขนาดนี้

เด็กนักเรียน: คุณจินตนาการความสัมพันธ์ของแฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่ไว้อย่างไรในตอนแรก และมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างเมื่อคุณลงลึกไปกับเนื้อหาในหนังสือแล้ว?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: นั่นเป็นคำถามที่ดีมากค่ะ เพราะมันเชื่อมโยงไปถึงหัวใจของการเขียนวรรณกรรมเรื่องยาว นักเขียนบางคนกล่าวว่า ‘ตัวละครคือเค้าโครงเรื่อง’ และพวกเขาคิดถูกพอสมควรเชียวล่ะ ดังนั้นฉันจึงให้แฮร์รี่มีเพื่อนสองคน เพื่อนสองคนที่แตกต่างกันแบบสุดขั้ว รอนจะเต็มไปด้วยความตลกเฮฮา แต่เขาก็ยังเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก เขาเป็นมนุษย์ในแบบที่มนุษย์ที่แท้จริงเป็นกัน และด้วยเหตุผลบางประการอาจมากกว่าแฮร์รี่ด้วยซ้ำ แฮร์รี่ผู้ซึ่งเป็นดั่งวีรบุรุษ บ่อยครั้งที่วีรบุรุษมักถูกแยกตัวออกมาจากคนธรรมดา พวกเขาคือบุคคลที่ต้องทำตามความคาดหวังของคนอื่น

ส่วนรอนเป็นเด็กผู้ชายที่จับต้องได้มากกว่าเมื่อดูจากความผิดพลาดและความบกพร่องทั้งหลายของเขา รอนขี้กลัวและมักจะขี้สงสัย “จริงหรือนี่? นี่เราต้องทำอะไรแบบนี้กันอีกแล้วเหรอ?” แต่เขาก็ยังคงอยู่เคียงข้างแฮร์รี่ตลอดเวลา ปัญหาเพียงอย่างเดียวของรอนคือการขาดความมั่นใจ – เป็นปัญหาของทั้งตัวรอนเองและปัญหาของเพื่อนๆ – รอนรู้สึกว่าตัวเขาเองคงไม่ดีได้เท่าพวกพี่ชาย เขามาจากครอบครัวขนาดใหญ่ และอยู่ดีๆ ก็กลายมาเป็นเพื่อนกับเด็กชายที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกพ่อมดแม่มด ดังนั้นรอนจึงต้องประสบกับปัญหาที่ตัวเขาเองต้องฝ่าฟันไปให้ได้ และในการทำแบบนั้น รอนต้องเดินทางผ่านปัญหาแห่งภาวะอารมณ์ของตัวเขาเอง นั่นคือลักษณะนิสัยและเรื่องราวของรอน ฉันรู้เรื่องเหล่านี้ของรอนตั้งแต่เริ่มต้นแล้วค่ะ ฉันรู้ว่าสิ่งนี้จะกลายมาเป็นประเด็นปัญหาที่กระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา

แฮร์รี่เองเป็นเด็กที่ต้องการความสนุกสนานในชีวิต และเขาก็ได้รับมันจากรอน ถึงแม้ว่าแฮร์รี่จะถูกทำให้โดดเด่นขึ้นมาเพราะชะตากรรมที่แสนประหลาดนี้ แต่เขากลับเป็นคนที่ไม่ได้รู้อะไรมากมายเลย และนั่นคือตอนที่เฮอร์ไมโอนี่ก้าวเข้ามา เฮอร์ไมโอนี่รอบรู้ไปเสียทุกอย่าง ฉันจึงมอบเพื่อนทั้งสองให้กับแฮร์รี่เพื่อพวกเขาจะนำมาซึ่งสิ่งที่ชีวิตแฮร์รี่จำเป็นต้องมี เฮอร์ไมโอนี่ฉลาดเป็นกรด เธอไม่เพียงรู้อะไรมากมายเท่านั้น แต่เธอยังรู้ว่าจะค้นพบสิ่งต่างๆ ได้จากแหล่งไหน แต่เธอเองก็เช่นกัน เธอใช้ชีวิตอยู่ในวังวนของหนังสือ ดังนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงผ่อนคลายตัวเองลงมาก โดยส่วนใหญ่ผ่านอิทธิพลที่มาจากรอน เฮอร์ไมโอนี่ค้นพบว่ายังมีอะไรในชีวิตมากไปกว่าการจมอยู่กับหนังสือ เป็นบทเรียนที่เธอเรียนรู้อย่างรวดเร็ว และเธอก็ได้เติบโตขึ้นมาในแบบที่มนุษย์คนนึงควรจะเป็น

Scholastic: รอนกับเฮอร์ไมโอนี่มีความขัดแย้งกับแฮร์รี่

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: มากเลยค่ะ และนั่นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาน่าสนใจ เพราะว่ามันมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในนั้น เหมือนอย่างที่ต้องเกิดกับความสัมพันธ์ของมนุษย์ทั่วไป แม้ว่ามิตรภาพนั้นจะลึกซึ้งและอบอุ่นแค่ไหนก็ต้องมีบททดสอบเกิดขึ้น และสิ่งที่ทำให้มิตรภาพที่แสนดีดูแตกต่างนั้นไม่ใช่ว่าต้องไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งหรือความขัดแย้งเลย แต่มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะรับมือกับมันอย่างไร เพราะคุณจำเป็นต้องซื่อสัตย์และพยายามหาวิธีแก้ไขความยุ่งยากเหล่านั้นให้ได้

Scholastic: ในฐานะผู้อ่าน เรารู้สึกเหมือนกับว่าเราได้มีประสบการณ์ร่วมในการเดินทางไปกับพวกเขา และหนทางนั้นก็มีมากกว่าแค่เรื่องของเวทมนตร์ใช่ไหม?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: จริงทีเดียวเลยค่ะ ตามที่เราได้คุยกัน นี่คือสามตัวละครที่ไม่ได้อวดตัวว่าเจ๋งหรือสร้างความน่ารำคาญ สิ่งที่พวกเขาต้องเรียนรู้ก็คือตัวตนของพวกเขาเอง แน่นอนพวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกันด้วย แต่การรู้จักตัวเองคือกุญแจสำคัญ เพื่อที่จะไม่เป็นการเปิดเผยเนื้อเรื่องมากเกินไปอีกครั้งนะคะ เมื่อเราพูดถึงแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต สิ่งที่เครื่องรางเป็นและสิ่งที่พวกมันแสดงให้เห็นทำให้เราได้รู้จักตัวตนของคนที่แสวงหามัน ต้องการใช้มัน และการถูกดึงดูดเข้าหาเครื่องรางแต่ละชนิดก็บ่งบอกว่าคุณเป็นคนประเภทไหน แฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่จำเป็นต้องเข้ามาอยู่ใกล้วัตถุเหล่านี้ และนั่นเป็นการเดินทางที่เกี่ยวกับสภาวะอารมณ์ ซึ่งมีเรื่องเวทมนตร์เข้ามาเกี่ยวข้องน้อยมาก

Scholastic: คุณเขียนเกี่ยวกับตัวละครสามตัวนี้ในช่วงเวลาที่ยาวนาน คุณลงเอยด้วยการเป็นเหมือนพวกเขามากแค่ไหน?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: ฉันหลับตาเห็นภาพการถกเถียงกันเรื่องที่ว่านักเขียนมักจะมีตัวตนอยู่ในตัวละครที่พวกเขาเขียน พวกเขาต้องเป็นแบบนั้นค่ะ คุณต้องเข้าใจจากภายในถึงสิ่งที่คนคนหนึ่งต้องก้าวผ่าน ซึ่งหมายความว่าคุณต้องนำตัวเองเข้าไปอยู่ในความคิดของคนมากมาย แต่สำหรับแฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่ ฉันมีตัวตนอยู่ในพวกเขาทั้งสามคน แฮร์รี่เป็นตัวละครที่อยากรู้อยากเห็น เขาไมได้เป็นที่นิยมที่สุดในหนังสือ ด้วยความที่เขาเป็นคนช่างสงสัยแบบนี้

บ่อยครั้งที่บุคคลคนหนึ่งไม่ค่อยเป็นที่รักเท่าที่ควร ด้วยเหตุจากความบกพร่องของพวกเขานั้นไม่ใช่ความบกพร่องที่คนทั่วไปมีกัน แต่แฮร์รี่มักเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ เป็นดวงตาของโลก และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เขามีพลังพิเศษ เขาไม่ค่อยแยแสอะไรนัก ซึ่งนั่นไม่ใช่คุณลักษณะที่น่าชื่นชอบเท่าไหร่ แต่บ่อยครั้งคนที่มีลักษณะของความไม่แยแสนี้มักจะไม่ธรรมดาและสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ และนักเขียนส่วนใหญ่มักมีความไม่แยแสอยู่ในตัว ถ้าฉันถอยออกมามองตัวละครทั้งสาม ฉันคงพูดได้ว่าส่วนหนึ่งของฉันอาจอยู่ภายในตัวแฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่เป็นอะไรที่มองง่ายกว่า

เฮอร์ไมโอนี่คือแบบฉบับของตัวฉันในวัยนั้นค่ะ เธอไม่ได้เหมือนฉันไปเสียทั้งหมด แต่ฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่ติดหนึบอยู่กับหนังสืออย่างแท้จริงเลยหละ แล้วฉันก็เป็นเด็กที่จะต้องรีบวิ่งไปที่ห้องสมุดเพื่อค้นหาคำตอบ นั่นคือสิ่งที่ฉันจะทำเพื่อตอบโต้ความท้าทายที่เกิดขึ้นในฮอกวอตส์ ฉันจะไปค้นหาหนังสือ ยังมีความเป็นฉันในตัวรอนอยู่เยอะเลยค่ะ ความตลกแบบพื้นๆของรอนมักทำให้ฉันหัวเราะ ฉันไม่ได้บอกว่านั่นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันหัวเราะหรอกนะ แต่ฉันรักอารมณ์ขันของรอน และแน่นอนที่เดียวว่าสิ่งนั้นมาจากตัวฉัน ฉันเป็นคนแต่งมุกตลกนั่นขึ้นมา

Scholastic: ในฐานะผู้อ่าน พวกเราคิดว่าพวกเรามีความเหมือนกันกับเหล่าตัวละคร โดยส่วนใหญ่เป็นเพราะพวกเขาต้องรับมือกับสิ่งเดียวกันกับที่พวกเราเองก็ต้องผ่านไปให้ได้

เจ.เค. โรว์ลื่ง: แน่นอนค่ะ หนี่งในความเห็นที่ฉันชอบที่สุดมาจากผู้อ่านในยุคแรกๆ ประมาณปี 1997 – 1998 เขาเป็นเด็กผู้ชายอายุประมาณ 10 ขวบ เขามองมาที่ฉันและพูดว่า “ผมชอบหนังสือเล่มนี้มากครับ” ฉันตอบกลับไปว่า “ขอบใจมากนะจ๊ะ” เขาพูดต่อว่า “แฮร์รี่ไม่ค่อยรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ผมเองก็เหมือนกัน” สิ่งนั้นบอกอะไรกับฉันมากมาย เพราะฉันคิดว่าในช่วงอายุนั้นเขาคงกำลังพูดเล่นตลกๆ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็หมายความเช่นนั้นจริงๆ และฉันคิดว่า “นั่นมันดีเยี่ยมเลย หนูได้สรุปทุกอย่างออกมาครบถ้วนแล้ว” เราทุกคนต่างก็มีความรู้สึกที่ว่า “ฉันเป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหรือเปล่านะ?” เราทุกคนเคยรู้สึกแบบนั้น ฉันคิดว่าตอนที่คุณยังเด็กและเริ่มไปเข้าโรงเรียนใหม่ ความรู้สึกที่ว่านี้ไม่มีทางรุนแรงไปมากกว่าช่วงเวลานั้นแน่นอน

เด็กนักเรียน: คุณทราบไหมว่าตอนที่คุณกำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ของแฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่นั้นจะช่วยให้พวกเราเผชิญหน้ากับปัญหาอุปสรรคหลายอย่างได้?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: ฉันคงไม่ทราบหรอกค่ะ เพราะตอนที่คุณกำลังเขียนคุณจะเข้าไปอยู่ในโลกใบนึง คุณกำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนั้น คุณกำลังรู้สึกถึงมัน ด้วยความสัตย์จริง นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายในความคิดเลยที่ว่า ผู้คนอ่านแล้วจะคิดยังไงกันนะ? เพราะคุณกำลังยุ่งอยู่กับการสร้างสรรค์เรื่องราว มันมาเกิดขึ้นทีหลังค่ะ เมื่อฉันคิดว่า “ว้าว” ตอนที่ฉันเริ่มได้รับจดหมาย โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งรังแกกัน ฉันได้รับจดหมายจากเด็กผู้ชาย เขียนว่า “มีเดรโก มัลฟอยในชั้นเรียนของผมด้วยครับ” หรือไม่ก็จากเด็กผู้หญิง “หนูรู้จักแพนซี่ พาร์กินสันค่ะ” นั่นมีความหมายมากสำหรับฉันทางความรู้สึกที่ฉันหวังว่าผู้คนที่กำลังรับมือกับปัญหาเหล่านี้จะคิดว่า “เอาล่ะ ฉันไม่ได้อยู่ลำพังนี่นา บางคนก็เพียงแค่ใจร้าย แล้วมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลย ฉันเพียงแค่ต้องหาทางหลบเลี่ยงจากสิ่งนี้เท่านั้นเอง” นั่นเป็นสิ่งที่ดีเหลือเกินที่ได้ยิน

เด็กนักเรียน: Pottermore.com ผุดขึ้นมาในใจคุณได้อย่างไร?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: ความคิดเริ่มแรกเลยคือ มันถึงเวลาแล้ว แฟนหนังสือมากมายมายต่างพูดกันว่า “เมื่อไหร่พวกเราจะมีอีบุ๊ค?” เมื่อไหร่กันที่พวกเราจะได้อ่านแฮร์รี่ในรูปแบบอื่นบ้าง?” เหมือนกับว่ามันถึงเวลาแล้วที่ต้องลงมือทำ ฉันมีเวลาที่จะจดจ่อและทำมันออกมาอย่างเหมาะสม และนั่นคือตอนที่ความคิดเกี่ยวกับเว็บไซต์พอตเตอร์มอร์ได้เริ่มขึ้น แต่แล้วฉันก็อยากให้มันเป็นมากกว่านั้น เพราะ อย่างที่คุณเห็น อินเทอร์เน็ตมีความเป็นไปได้อันน่าทึ่ง ไม่มีใครเคยคิดฝัน เมื่อปี 1997 ตอนที่หนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มแรกได้รับการตีพิมพ์ ฉันจึงมองว่ามันเป็นหนทางที่จะสร้างสรรค์บรรยากาศซึ่งคุณจะได้พบกับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแบบพิเศษๆ

คุณจะได้เข้าถึงภาพประกอบหนังสือนิดหน่อย มันคือการทำหนังสือในโลกใบนั้น เป็นการหยิบหนังสือเข้าไปใส่ไว้ในโลกใบนั้น คุณสามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ได้ในนั้น มันยังคงเป็นเรื่องของการอ่าน คุณยังต้องอ่านหนังสือ แต่ฉันตื่นเต้นเกี่ยวกับความจริงที่ว่าเราสามารถนำประสบการณ์ในการอ่านที่ดีมาไว้ในโลกออนไลน์ได้ ฉันคิดว่ามันสำคัญมากที่จะบอกว่าคุณจะได้รับสิ่งต่างๆ มากมายบนพอตเตอร์มอร์ไปแบบฟรีๆ มันไม่ใช่แค่การขายหนังสือ คุณซื้ออีบุ๊คได้ในนั้นหากคุณต้องการ แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นมากๆ สำหรับฉันก็คือ ฉันได้ใส่สิ่งพิเศษลงไปซึ่งฉันได้คิดไว้เป็นปีๆ เป็นวิธีที่จะทำให้มั่นใจว่าแฟนๆ จะสามารถเข้าถึงมันได้ พวกเขาสามารถเล่นกับมันได้ มันเป็นอะไรที่ฉันรัก ถ้าฉันรักเรื่องราวในหนังสือ การได้รู้เรื่องราวของเหล่าตัวละครมากขึ้น รวมถึงภูมิหลังเล็กๆ น้อยๆ ฉันคงจะหลงใหลมันเลยทีเดียว มันเป็นโอกาสที่จะได้ทำสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด

เรามีทีมที่ดีเยี่ยมในการทำงาน เรามีจริงๆ ค่ะ และฉันเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย อันที่จริงคุณได้เห็นการบอกใบ้บางอย่างที่น่าสนุก คุณได้มีไม้กายสิทธิ์เป็นของตัวเอง คุณได้รับคัดสรรเข้าบ้านต่างๆ และฉันคิดว่านั่นได้รับความสนใจจากผู้ใช้เว็บไซต์อย่างมาก ฉันคิดสิ่งนั้นขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ฉันสนุกมากกับการได้ทำสิ่งเหล่านั้น ฉันคิดว่าคงมีส่วนผสมของไม้กายสิทธิ์สัก 30,000 อย่างหรืออะไรประมาณนั้นที่คุณจะสามารถมีไว้ในครอบครอง ดังนั้นคุณจะได้ไม้กายสิทธิ์ที่มีลักษณะส่วนบุคคลมากทีเดียว

การคิดเรื่องคำถามสำหรับบ้านต่างๆ นั้นสนุกมาก เพราะว่ามันมีคำถามออนไลน์ที่คล้ายกับของเราแต่ก็ไม่ดีเท่า มันเป็นเวลาที่ฉันต้องลงมือทำค่ะ

เด็กนักเรียน: อะไรคือสิ่งที่คุณชอบที่สุดในส่วนของศิลาอาถรรพ์ในพอตเตอร์มอร์?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: ฉันคิดว่าเป็นตรอกไดแอกอน ช่วงเวลาที่คุณก้าวเข้าสู่โลกเวทมนตร์เป็นช่วงเวลาที่สุดมหัศจรรย์ในพอตเตอร์มอร์ ฉันรักภาพประกอบนั้น เพียงแค่ได้เดินผ่านไปตามร้านรวงต่างๆ ได้เลือกซื้อสิ่งของ เหมือนกับตอนที่ฉันยังเด็ก หนังสือภาพป๊อปอัปเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมาก นี่มันก็จะเหมือนกับหนังสือภาพป๊อปอัพในอีกระดับหนี่งเลยจริงไหมคะ ในภาพประกอบก็จะมีเอฟเฟกต์สามมิติที่คุณสามารถเล่นสนุกไปกับมันได้ นั่นมันตรงใจจริงๆ ฉันต้องการให้รูปแบบของเว็บไซต์ยังคงความเป็นหนังสืออยู่มากที่สุด เพราะฉะนั้นภาพประกอบก็จะไม่ออกไปในแนวภาพยนตร์ พวกมันจะดูเหมือนภาพประกอบของหนังสือมากกว่า เหมือนกับภาพประกอบแบบป๊อปอัปที่ฉันรัก

เด็กนักเรียน: มีตัวละครตัวไหนบ้างไหมที่กลับมาทำให้คุณประหลาดใจ?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: ก่อนอื่นเลย การกลับไปหาแฮร์รี่ … ฉันไม่เคยรู้สึกว่าฉันจากไปจริงๆ ฉันจะไม่มีวันจากไปด้วย มันคือ 17 ปีในชีวิตของฉัน ฉันรู้สึกหัวใจแตกสลายที่ต้องยุติการเขียน มันน่าลำบากใจ น่าลำบากใจเอามากๆ การกลับไป (สู่พอตเตอร์มอร์) นั้นเป็นเรื่องง่ายมาก มันง่ายจนน่าขำสำหรับฉัน ฉันรู้สึกเหมือนได้ไขประตูเปิดกลับเข้าไปในบ้านของตัวเอง ฉันรักมัน ฉันรักการปฏิสัมพันธ์ที่ไม่มีวันหยุดยั้ง การได้ค้นเอาสิ่งเก่าๆ ออกมาหรือการได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เพิ่มเติมให้กับพอตเตอร์มอร์นั้นเป็นเรื่องน่าสนุก มันเป็นหนทางที่ดีเลิศในการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกและแฟนๆ ของแฮร์รี่ มันยอดเยี่ยมจริงๆ ค่ะ

มีตัวละครตัวไหนบ้างไหมที่กลับมาทำให้คุณประหลาดใจ? ฉันจะไม่พูดว่ารู้สึกประหลาดใจหรอกนะคะ เพราะว่าฉันรู้จักพวกเขาดีทีเดียว ที่พูดแบบนั้นเพราะฉันเพิ่งเขียนประวัติของรีมัส ลูปินเสร็จสมบูรณ์เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในตัวละครที่ฉันชอบมากที่สุดในหนังสือ เขาเป็นอาจารย์ที่แฮร์รี่เคยเรียนด้วยในเล่มสาม นักโทษแห่งอัซคาบัน ในส่วนของการเขียนประวัติของรีมัสนั้น ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ในหัวฉันตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่ฉันก็ไม่เคยเขียนออกมาจริงๆ จังๆ สักที  ฉันรู้เรื่องราวของเขาในบางเรื่อง แต่การเขียนออกมานั้นชวนเครียดน่าดู นั่นคือทั้งหมดที่ฉันสามารถพูดได้ เพราะฉันไม่อยากบอกทุกอย่างออกไปตอนนี้ค่ะ แต่ฉันพบว่าตัวเองรู้สึกสะเทือนอารมณ์มากเหมือนกัน ฉันรู้สึกเชื่อมโยงกับตัวละครเป็นอย่างมาก และมันยากที่ต้องกลับเข้าไปในชีวิตเขาอีกครั้ง

Scholastic: มันต้องน่าตื่นเต้นมากแน่ๆ ที่ได้เห็นสิ่งนี้ (หนังสือทั้งชุด) มีชีวิตขึ้นมา

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: ใช่ค่ะ มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น มันใช้เวลานานมาก พวกเรา ฉันใช้คำว่าพวกเราเพราะว่ามันต้องใช้ทีมผู้สร้างสรรค์ขนาดใหญ่ในโปรเจคต์นี้ มันใช้เวลาอยู่เป็นปีๆ ผู้คนมักถามว่า “เมื่อไหร่คุณจะทำอีบุ๊ค?” แล้วฉันก็ตอบอะไรพวกเขาไม่ได้ เพราะพวกเราพยายามลงแรงกับสิ่งที่พวกเราหวังว่าจะเป็นประสบการณ์การอ่านที่ยอดเยี่ยมในโลกออนไลน์ และเมื่อในที่สุดการได้เห็นมันกลายมาเป็นความจริงช่างเป็นสิ่งที่แสนวิเศษ ฉันลงชื่อเข้าใช้ในฐานะสมาชิกธรรมดา คือฉันอยากจะมีประสบการณ์ร่วมเหมือนกับคนอื่นน่ะค่ะ ฉันจึงสมัครใช้งานไป

Scholastic: เราได้ทำแบบสำรวจแฟนหนังสือของคุณ ถามพวกเขาว่าคำถามอะไรที่พวกเขาต้องการให้คุณตอบมากที่สุด เกือบ 40,000 คนได้ทำการโหวต และคำถามที่พวกเขาเลือกด้วยคะแนน 40 เปอร์เซ็นต์จากการโหวตคือ บ้านหลังไหนที่คุณได้อยู่ในพอตเตอร์มอร์?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: ค่ะ อย่างที่ฉันบอกไป ฉันรู้ว่ามันทำงานอย่างไร ฉันจึงลงชื่อเข้าใช้ และตอนนี้ฉันก็ได้อยู่ในพอตเตอร์มอร์ในฐานะผู้ใช้ธรรมดา นั่นคือวิธีที่ฉันเข้าไปเช็คดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถึงแม้ว่าฉันจะไม่บอกชื่อผู้ใช้ของตัวเองนะคะ ฉันเข้าร่วมการคัดสรรและฉันได้อยู่บ้านกริฟฟินดอร์ แต่มันมีช่วงเวลาที่ฉันคิดขณะที่กำลังคลิกคำตอบเพื่อตอบคำถามสุดท้าย แล้วก็ระลึกขึ้นมาว่าฉันเป็นคนตั้งคำถามนี่นา ฉันคิดว่า “นี่ ฉันไม่แน่ใจว่าฉันคลิกคำตอบไปเพื่อให้ได้กริฟฟินดอร์รึเปล่า” ฉับตอบทุกคำตอบด้วยความสัตย์ซื่อจริงๆ นะ และฉันก็รู้ว่าฉันได้ตอบบางคำถามไปสำหรับบ้านอื่นๆ ฉันก็เลยคิดว่า “ฉันสงสัยจริงว่ามันจะออกมาเป็นยังไง” ใช่ค่ะ ฉันคือกริฟฟินดอร์

เด็กนักเรียน: คุณอยากพูดอะไรถึงคนที่รู้สึกผิดหวังที่พวกเขาได้รับการคัดสรรให้เข้าไปอยู่บ้านฮัฟเฟิลพัฟในพอตเตอร์มอร์?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: เป็นคำถามสุดโปรดของฉันเลย เพราะว่านี่เป็นประเด็นที่เจ็บปวดสำหรับฉัน นี่อาจทำให้หลายคนแปลกใจ แต่มันคือความจริง ไม่ว่าอย่างไรฮัฟเฟิลพัฟคือบ้านที่ฉันชอบ และนี่คือเหตุผลของฉัน อดทนกับฉันหน่อยนะคะ คือฉันไม่อยากพูดถึงเนื้อหามากเกินไปกับคนที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือทั้งหมด ฉันจะพูดอย่างระมัดระวังแล้วกันค่ะ มันมีประเด็นหนึ่งในหนังสือเล่มสุดท้าย ซึ่งแต่ละบ้านต้องเลือกว่าจะลุกขึ้นต่อสู้กับความท้าทายที่เกิดขึ้นหรือไม่ และทุกคนในบ้านเลือกที่จะทำ

พวกสลิธีริน ซึ่งมีเหตุผลเป็นที่เข้าใจได้ พวกเขาไม่เข้าร่วมด้วย เรเวนคลอบางคนตัดสินใจว่าจะอยู่ บางคนตัดสินใจว่าไม่ พวกฮัฟเฟิลพัฟเป็นเฉพาะรายบุคคลไป พวกเขาตัดสินใจจะอยู่ เช่นเดียวกับพวกกริฟฟินดอร์ ซึ่งกริฟฟินดอร์ก็จะมีทั้งคนที่กล้าหาญในแบบโง่ๆ หรือไม่ก็ชอบเสี่ยงทั้งที่ไม่จำเป็น นั้นคือสิ่งที่มันต้องเป็น ฉันเป็นพวกกริฟฟินดอร์ ฉันจึงสามารถพูดแบบนี้ได้ มันมีทั้งความกล้าหาญและความโอ้อวด และบางครั้งทั้งสองอย่างนี้ก็อยู่รวมกัน พวกฮัฟเฟิลพัฟยืนหยัดอยู่ด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป พวกเขาไม่ได้พยายามที่จะอวดเก่ง พวกเขาไม่ได้เข้าไปเสี่ยงแบบไม่ยั้งคิด

นั่นคือสาระสำคัญของบ้านฮัฟเฟิลพัฟ เจสสิก้าลูกสาวคนโตของฉันได้บอกบางสิ่งที่ลึกซึ้งกับฉันเมื่อไม่กี่วันมานี้ เธอบอกกับฉันว่าทำไมเธอถึงไม่ควรได้รับการคัดสรรไปบ้านฮัฟเฟิลพัฟ เธอพูดประโยคหนึ่งว่า “หนูคิดว่าพวกเราทุกคนควรอยู่บ้านฮัฟเฟิลพัฟ” ฉันบอกคุณได้เพียงแค่ว่าฉันจะไม่ผิดหวังเลยแม้แต่น้อยที่ได้รับการคัดสรรไปบ้านฮัฟเฟิลพัฟ ฉันจึงรู้สึกหัวเสียเล็กน้อยที่คุณรู้สึกกันแบบนั้น

Scholastic: แต่คุณอยู่กริฟฟินดอร์นี่

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: ใช่ ฉันคือกริฟฟินดอร์ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของความดี ฉันรู้ว่าแฮร์รี่เป็นกริฟฟินดอร์ แต่แฮร์รี่เป็นกริฟฟินดอร์ด้วยเหตุผลเหมือนที่ฉันเป็นกริฟฟินดอร์ ฉันเป็นคนหงุดหงิดง่าย แฮร์รี่ก็มีปัญหาของเขา ฉันไม่ได้ว่าเขานะ แม้กริฟฟินดอร์จะไม่ใช่ แต่ความคิดหลายอย่างในความเป็นกริฟฟินดอร์เองก็ผลักดันให้กลายเป็นพ่อมดศาสตร์มืด ฮัฟเฟิลพัฟเป็นบ้านที่มีประวัติใสสะอาดมาก และในความเป็นจริงแล้วสลิธีรินก็มีฮีโร่มากกว่าหนึ่งคน

Scholastic: อะไรที่คุณจะทำต่อจากนี้? อะไรที่คุณกำลังทำอยู่?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: เขียนหนังสืออีกค่ะ (หัวเราะ) เขียนหนังสืออีกแน่นอน ตอนนี้ฉันยังคงโปรโมต น่าจะใช้เวลาอีกไม่กี่วัน หนังสือเล่มล่าสุดของฉันซึ่งเป็นหนังสือสำหรับผู้ใหญ่ แต่ฉันคิดว่าเล่มต่อไปที่ฉันจะตีพิมพ์น่าจะเป็นหนังสือสำหรับเด็ก สาเหตุที่ฉันไม่ผูกมัดตัวเองไว้กับแผนการของฉันอย่างเต็มที่คือ หลังจากการเป็นนักเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์มาได้ 15 ปี ซึ่งไม่ว่าคุณจะพูดอะไร ผู้คนก็จะรีบฉวยโอกาสพูดว่า “เธอกำลังทำมันแล้วอย่างแน่นอน” แล้วคุณก็จะรู้สึกแบบว่าไม่อาจเปลี่ยนใจได้ มันค่อนข้างตึงเครียดนะ ฉันยังไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะทำมันเป็นสิ่งต่อไปหรือไม่ แต่ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นหนังสือสำหรับเด็กเล็ก ฉันคิดว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ฉันจะตีพิมพ์ต่อไปค่ะ

Scholastic: สิ่งแรกที่คุณคิดออก คุณต้องตอบให้เร็วนะ เริ่มได้

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: โอเค ให้ตาย น่ากลัวจริง

Scholastic: สีที่คุณชอบล่ะ?

เจ.เค.โรว์ลิ่ง: สีชมพู

Scholastic: อาหารที่ชอบล่ะ?

เจ.เค.โรว์ลิ่ง: ซูชิ

อาหารที่ชอบน้อยที่สุด?

เจ.เค.โรว์ลิ่ง: ผ้าขี้ริ้วที่เป็นเครื่องในสัตว์ ฉันกินมันเพราะอยากลอง และมันก็แย่เหมือนหน้าตามันเลย

Scholastic: เสียงที่ชอบ?

เจ.เค.โรว์ลิ่ง: เสียงทะเล หรือเสียงกรนของสามีฉัน

Scholastic: เสียงที่ชอบน้อยที่สุด?

เจ.เค.โรว์ลิ่ง: เสียงกรนของสามีเวลาที่ฉันอยากจะหลับ

Scholastic: กีฬาโปรดล่ะ?

เจ.เค.โรว์ลิ่ง: ควิดดิช อย่างไม่ต้องสงสัย

Scholastic: คุณชอบทำอะไรเวลาที่ไม่ได้ทำงานอยู่?

เจ.เค.โรว์ลิ่ง: ฉันจะพาลูกๆ ไปเที่ยวที่ไหนสักที่ที่มันน่าสนใจ ด้วยความที่ฉันเป็นคนสร้างสรรค์ ฉันชอบการวาดรูป ฟังเพลง คำตอบดูไม่ตื่นเต้นเลยใช่ไหมคะ? แต่มันคือเรื่องจริงนะ โอ้ใช่! ฉันรักการทำอาหาร รักที่ได้ทำกับข้าว ได้อบขนม

Scholastic: คุณสมบัติที่คุณชื่นชอบที่สุดในตัวบุคคลสักคนคือ?

เจ.เค.โรว์ลิ่ง: ความกล้าหาญ

Scholastic: ถ้าฉันไม่ได้เป็นนักเขียน ฉันจะ..

เจ.เค.โรว์ลิ่ง: สิ้นหวัง ไม่มีอะไรที่ฉันอยากทำอีกแล้ว ลูกสาวคนสุดท้องพูดกับฉันเมื่อไม่นานมานี้ว่า “แม่ ถ้าแม่ต้องเลือกระหว่างพวกหนูกับงานเขียน แม่จะเลือกอะไร?” ฉันตอบเธอว่า “ฉันจะเลือกเธอ แต่ฉันก็จะอารมณ์เสียเอามากๆ ด้วย”

Scholastic: คุณเคยพูดอยู่บ่อยๆ ว่านักอ่านเด็กๆ เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่น่าพอใจในระหว่างการเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์ ถ้า 20, 50 หรือ 100 ปีนับจากนี้ พวกเขายังอ่านอยู่ อะไรที่คุณคาดหวังที่สุดที่อยากให้เด็กๆ ได้รับจากประสบการณ์ในการอ่านแฮร์รี่?

เจ.เค. โรว์ลิ่ง: สิ่งที่ฉันคิดถึงมากที่สุดว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขาจะได้รับ คือสิ่งที่ฉันได้รับจากหนังสือเล่มโปรดของฉัน มันคือการได้รับรู้ว่ายังมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งคุณสามารถไปถึง ที่ที่คุณรักและรู้สึกปลอดภัย นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้สึกต่อหนังสือเล่มโปรดของฉัน ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ไหน ถ้าฉันมีหนังสือเล่มนั้นติดตัวไปด้วย ฉันจะมีสถานที่ที่ฉันจะไปถึงได้และจะมีความสุข ดังนั้นถ้าที่นั่นคือฮอกวอตส์สำหรับใครก็ตาม ฉันคงไม่รู้สึกเป็นเกียรติไปมากกว่านี้แล้วค่ะ

อ่านเนื้อหาต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ SnitchSeeker