บทความนี้จะเป็นการรีวิวแบบไม่มีสปอยล์เนื้อหาแต่อย่างใดนะครับ ถ้าใครอยากรู้สปอยล์ตอนนี้ขอแนะนำให้ไปชมด้วยตัวเองก่อน ^ ^ การรีวิวของผมขอไม่ระบุเป็นคะแนนนะครับ ผมโชคดีที่ได้ชมรอบสื่อหรือรอบพรีเมียร์ไทยไปเมื่อคืนวันที่ 16 พฤศจิกายน ตอนสองทุ่มที่ผ่านมาในระบบ IMAX
เริ่มต้นที่การรีวิวเรื่องราว
ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่า “ถ้าไม่เคยดูแฮร์รี่ พอตเตอร์ หรือลืมไปหมดแล้ว จะดูเรื่องนี้รู้เรื่องไหม?”
ผมตอบได้เลยครับว่ารู้เรื่อง เพราะงานนี้ด้วยความที่เจ.เค.โรว์ลิ่งนั่งแท่นเขียนบทภาพยนตร์ด้วยตัวเอง เธอสร้างเรื่องใหม่ขึ้นมาและอธิบายเรื่องใหม่ไว้ในภาพยนตร์อย่างชัดเจน ชนิดที่ไปแบบงงๆ ไม่รู้อะไรเลยก็ยังเข้าใจ แต่ถ้าใครที่อ่านเนื้อหาจากทั้ง Muggle-V และ Pottermore มาแล้ว ทั้งเรื่องเวทมนตร์แห่งอเมริกาเหนือหรือเรื่องราวต่างๆ มันจะทำให้คุณเข้าใจความลึกของภาพยนตร์มากขึ้น เข้าใจสภาพความแตกต่างระหว่างอังกฤษและอเมริกามากขึ้นครับ
ฉะนั้นมั่นใจได้แบบกล้ารับรองเลยว่าคุณจะไม่เอ๋อเวลาชมภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ถ้าว่ากันตามจริงก็คือ ไม่เกี่ยวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์เลยสักนิด แต่เพราะอยู่ในจักรวาลเวทมนตร์เดียวกัน คุณจึงจะได้ยินอะไรที่เคยได้ยินในแฮร์รี่ พอตเตอร์ อย่างคำว่า อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ที่คุณแค่ชมแฮร์รี่แบบไม่ครบภาคคุณก็ต้องรู้จักเขาแน่ๆ ว่าดัมเบิลดอร์คือใคร หรืออย่างคำว่า ฮอกวอตส์ คำว่ามักเกิ้ล รวมถึงคำอื่นๆ ที่ผมสปอยล์ไม่ได้ และคาถาที่เคยใช้ในแฮร์รี่ พอตเตอร์ จะกลับมาใช้เล็กน้อยในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งหมดจะทำให้คุณยิ้มแล้วเอะใจนึกได้ทันทีว่ามันเกี่ยวข้องกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ยังไง
และเพราะภาพยนตร์ “สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่” เรื่องนี้ เป็นภาคแรกจากทั้งหมด 5 ภาค เนื้อหาในภาคแรกจึงเป็นการปูทางไปสู่ภาคถัดไป ฉะนั้นความรู้สึกที่ดูจะไม่งง ไม่เงิบ แต่จะทำให้คุณตั้งคำถามเยอะมากว่าภาคถัดไปจะเป็นยังไง คุณจะดูมันเข้าใจได้ง่ายมากครับ เพราะมันคือการปูทาง เนื้อหาไม่ซับซ้อน ดำเนินไปอย่างเป็นลำดับชัดเจน มีการอธิบายทุกอย่างไว้ครบถ้วนในตัวของมันเองแล้ว
เมื่อคืนตอนที่ผมชม มีสองสามคนที่ได้คุยแล้วไม่เคยอ่านอะไรมาก่อนเลย พอถามว่าดูแล้วรู้เรื่องไหม ทุกคนดูแล้วรู้เรื่องหมดครับ
แล้วถ้าไม่เคยอ่านหนังสือ “สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่มาก่อนล่ะ”
อย่างที่เคยบอกไปครับ ภาพยนตร์เรื่องนี้หยิบยกมาแค่ชื่อหนังสือและผู้เขียนหนังสือเท่านั้น เนื้อหาทั้งหมด เจ.เค.เขียนมาเป็นบทภาพยนตร์ใหม่หมดสำหรับ 5 ภาค (ซึ่งอาจหมายถึง 5 ประเทศ) ฉะนั้นคุณไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อนเลย เพราะขนาดผมที่อ่านเล่มนี้มาหลายรอบ เจอสัตว์วิเศษในมุมของภาพยนตร์เข้าไปผมยังเดาไม่ถูกเลยครับว่าตัวนี้คืออะไร ถ้าตัวละครไม่อธิบายมัน แต่การที่มีสัตว์วิเศษแสนคุ้นเคยในแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี โผล่มาให้เห็นแว๊บๆ ก็ทำให้อมยิ้มได้จริงๆ
ทีนี้มาว่ากันด้วยแง่ของเนื้อหาและตัวละครนะครับ
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ตัวละครเพียงตัวเดียวที่เคยปรากฏชื่อในแฮร์รี่ พอตเตอร์ มีแค่ นิวท์ สคามันเดอร์ และตามมาด้วยพอร์เพนทีน่า โกลด์สตีนที่ปรากฏชื่ออยู่ในหนังสือ “สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่” ที่เจ.เค.โรว์ลิ่งหยิบยกชื่อมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้นั่นเอง ส่วนตัวละครที่เหลือคือ ตัวละครใหม่ทั้งหมด! ฉะนั้นไม่ต้องหวาดกลัวเลยว่าจะไม่รู้เรื่องว่าตานี่คือใคร ตัวละครนี้เชื่อมโยงกับแฮร์รี่ไหม เพราะอย่างที่บอกครับ ไม่เชื่อมโยงกันเลย เพราะอยู่ไกลกันหลายทศวรรษ เหมือนเราไปดูภาพยนตร์เรื่องใหม่นั่นแหละครับ
ในฐานะ Potterhead หรือติ่งแฮร์รี่ พอตเตอร์ แค่โลโก้ของ WB ปรากฏขึ้นมาพร้อมเพลงที่ทำให้นึกถึงแฮร์รี่อย่าง Hedwig’s Theme ก็ทำให้แฟนๆ ในโรงภาพยนตร์เมื่อคืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันสุดๆ
การเริ่มต้นของเนื้อหาใช้การเล่าเรื่องผ่านหนังสือพิมพ์ The New York Ghost เพื่อเท้าความหรือเกริ่นเรื่องราวให้คุณเข้าใจบรรยากาศในโลกเวทมนตร์ของอเมริกาว่าเป็นมายังไง ได้เห็นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในยุครุ่งเรืองอำนาจของกรินเดลวัลด์ และแผ่อิทธิพลมาถึงอเมริกา
ตัวละครแต่ละตัวที่ เจ.เค.โรว์ลิ่ง ต่างทำให้เราต้องตั้งคำถามกันไปทั้งหมด และเจ.เค.แฝงเรืองราวการเมืองไว้อย่างน่าสนใจ สิ่งหนึ่งที่ผมทำให้ผมเฟลนิดหน่อยคืออ่านเนื้อหาความดำมืดมาเยอะมาก แต่กลับรู้สึกว่าภาพยนตร์ไม่ได้ดำมืดอย่างที่ควร และเพราะปูทางด้วยการอ่านเนื้อหาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ในอเมริกาเหนือมา เลยทำให้เราสร้างความดาร์กของอเมริกาให้ภาพยนตร์โดยที่ภาพยนตร์ไม่ต้องสร้างขึ้นมาเอง
ในภาพยนตร์เรื่องนี้เราจะเห็นความเป็นเจ.เค.โรว์ลิ่ง เรื่องสตรีอยู่ไม่น้อย เพราะบทบาทหลักๆ หลายตัวละครมาจากผู้หญิง อย่างเซราฟิน่า พิกเคอรี ที่เป็นประธานาธิบดีของมาคูซา เธอเป็นผู้หญิงผิวสีที่มีอำนาจและได้รับการยอมรับกว้างขวางในสมาพันธรัฐพ่อมดนานาชาติ หรือตัวละครหลักอย่างทีน่า และควีนนี่ สองพี่น้องที่ดำเนินเรื่องราวหลัก ก็มีบทบาทสำคัญในการช่วย นิวท์ สคามันเดอร์ ไปปลอดภัยไปตลอดรอดฝั่ง รวมถึงสร้างบรรยากาศที่ชวนให้ยิ้มไปแทบตลอดทั้งเรื่องสำหรับตัวละครควีนนี่่
ส่วน เจคอบ โน-แมจผู้โชคดี ที่ได้รับตั๋วฟรีเข้าโลกเวทมนตร์ก็เป็นตัวแทนพวกเราที่อยากเข้าไปฟินโลกเวทมนตร์ได้อย่างเต็มเปี่ยม คุณจะรู้สึกอิจฉาเขา รู้สึกยิ้มไปกับเขา และมีความรู้สึกร่วมในตัวละครนี้มากเป็นพิเศษ เพราะเจคอบ คือตัวแทนของเราทุกคนนั่นเอง
ในขณะที่เรื่องราวความดำมืดที่ปูทางมาก่อนหน้านี้ อย่างประเด็นการต่อสู้ระหว่างโน-แมจและผู้วิเศษ หรือประเด็นการเรืองอำนาจของกรินเดลวัลด์ มันคือจุดเริ่มต้นของปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภาคต่อไปล้วนๆ ฉะนั้นจึงดูแล้วบางคนอาจรู้สึกว่าเนื้อหาเบาจัง คิดว่าจะเข้มข้นกว่านี้ แต่สำหรับผมคิดว่ามันคือการปูทางมาแต่แรกจึงไม่ผิดหวังอะไร แค่ได้กลับไปโลกเวทมนตร์ก็ฟินแล้ว
งานนี้ต้องบอกเลยว่า นักแสดงทุกคนที่มารับบทในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นตัวละครแต่ละตัวได้ยอดเยี่ยมมากๆ ทีมสร้างฉาก เครื่องแต่งกาย อะไรหลายๆ อย่าง รวมถึงเพลงที่ประกอบในฉากต่างๆ ก็ยอดเยี่ยม
ในด้านของสเปเชียลเอฟเฟกส์ต่างๆ ด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ปรับฐานคนดูเป็นวัยรุ่นมากขึ้น ผู้ใหญ่มากขึ้น ไม่ใช่ภาพยนตร์เด็กแบบแฮร์รี่ พอตเตอร์ 3 หรือ 4 ภาคแรก ฉะนั้นเอฟเฟกส์ต่างๆ จึงมีความเป็นผู้ใหญ่ สวยงามกว่า พิเศษกว่า พิถีพิถันกว่า อาจเรียกว่าเอฟเฟกส์ต่างๆ ดีกว่าแฮร์รี่ พอตเตอร์ เลยก็ได้ เพราะยุค 1920s เป็นยุคแกสบี้ ยุครุ่งเรืองแฟชั่น ความบันเทิง เอฟเฟกส์เวทมนตร์ก็เลยรุ่งเรืองตามไปด้วย (แม้จะต้องซ่อนตัวจากโน-แมจหนักมากก็ตาม)
แต่ที่เซ็งไม่น้อยก็คือหลายฉากในตัวอย่างไม่ปรากฏให้เราเห็นในภาพยนตร์ครับ อย่างฉากที่เจคอบพูดว่า “อยากมีเวทมนตร์จัง” หรืออีกหลายๆ ฉากที่ถูกตัดออกไปจากภาพยนตร์จริงๆ 132 นาที แต่ WB ก็ชอบเป็นแบบนี้ ก็คงต้องไปรอชมในรูปแบบแผ่น DVD Blu-ray เอา
เพราะงั้น ถ้าคุณรักเวทมนตร์ รักโลกของเจ.เค.โรว์ลิ่ง คิดถึงแฮร์รี่ พอตเตอร์ หรือแค่เคยมีประสบการณ์ร่วมกันมาล่ะก็ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้พลังเวทมนตร์ในตัวขึ้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ให้หัวใจได้เต้นรัวไปเพราะเวทมนตร์ของ เจ.เค.อีกครั้ง ฉะนั้นไปดูเถอะ จะไม่ผิดหวังเลยจริงๆ สำหรับผมตั้งใจจะชมภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ครบทุกระบบ เพราะอยากเก็บความรู้สึกแตกต่างในแต่ละระบบ และอยากเก็บข้อมูลใหม่ๆ ที่มาจากภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
คุณจะได้ยินคาถาบทใหม่ๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้เจอตัวละครที่เชื่อมโยงไปถึงเนื้อหาในแฮร์รี่ พอตเตอร์ มากกว่าแค่กรินเดลวัลด์ และดัมเบิลดอร์
ส่วนเรื่อง จอห์นนี่ เดปป์น่ะ! บอกเลยว่ายิ่งกว่าพีค!
เอาล่ะ มารีวิวภาพยนตร์เรื่องนี้ตามชนิดโรงภาพยนตร์กันนะครับ
IMAX PARAGON 450 บาท (มี 4 ราคาตามชั้นที่นั่ง 350 400 450 1500)
ถ้าใครกำลังลังเลใจว่าจะดูในระบบ IMAX ดีไหม ผมบอกเลยว่าดีครับ เพราะเวทมนตร์ทะลุและล้นจอมากกก เชื่อว่าในระบบปกติจะไม่ได้เห็นความพิเศษอะไรบางอย่างเหมือนใน IMAX 3D Frame Break เพราะระบบนี้มีการฉายแบบที่เอฟเฟกส์ล้ำเลยขอบจอภาพยนตร์ออกมาด้วย เราจะเห็นการพุ่งของเอฟเฟกส์ การล่องลอยต่างๆ มากกว่าปกติ ซึ่งทำให้เรารู้สึกใกล้ชิดในภาพยนตร์มากขึ้น เข้าถึงชีวิตชีวาและเห็นความตั้งใจใช้พื้นที่พิเศษที่นอกจาก 3D ปกติได้คุ้มค่ามาก คุณจะได้เห็นสัตว์วิเศษวิ่งออกมาใกล้ๆ ตัวคุณจนอยากจะวิ่งตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถึงจะล้นกรอบออกมายังไงมันก็ยังไม่สะใจอยู่ดี เพราะสุดท้ายมันก็มีกรอบของจอภาพยนตร์ทั้งผืนที่จำกัดได้แค่นั้นอยู่ดี ฉะนั้นถามว่าคุ้มค่าไหม ถ้าคุณเป็นคนชอบการพุ่งในแบบ 3D คุณจะชอบความ Frame Break ที่เวทมนตร์หลุดออกนอกกรอบหนังมากๆ
4Dx Paragon 600 บาท
ความน่าเสียดายส่วนตัวของผมคือ โรงไอแมกซ์ของพารากอนไม่มีเอฟเฟกส์หิมะตก ส่วนสาขาที่มีก็ เวสต์เกต / พรอมานาด / อีสต์วิลล์ ครับ ยังไม่ได้ไปลองฉะนั้นรีวิวแค่ที่ได้ดูเนอะ
สำหรับระบบ 4Dx ของพารากอน ส่วนตัวผมคิดว่ามันทำให้ผมได้อรรถรสในการเข้าถึงบรรยากาศของเหตุการณ์มากขึ้นนะ มีเอฟเฟกต์ทั้งฟ้าแลบ น้ำกระเซ็น ลมพัด เก้าอี้โยก เก้าอี้สะเทือน มีการทำให้รู้สึกเหมือนเราโดนกระแทก ตกจากที่สูงไปตามตัวละคร ที่ชอบที่สุดคือตอนที่เจคอบหนีอีรัมเพนท์แล้วมันทำน้ำแข็งแตกน้ำสาดกระจาย โอ้โห! น้ำสาดเข้าหน้าตาม สะใจอะ รู้สึกเร้าใจไปพร้อมกับเจคอบ เวลามีฟ้าผ่าในหนังแต่ละทีก็มีฟ้าแลบใส่เรา แผ่นดินสะเทือนทีนึงเบาะก็สะเทือนตาม หลายๆ อย่างออกมาทำให้เรามีอารมณ์ร่วมมากๆ อย่างฉากที่ให้ในตัวอย่างตอนที่เด็กๆ เล่นไอซ์สเกตแล้วล้มลงไป เรารู้สึกว่าล้มแล้วรับแรงสะเทือนตามจริงๆ หรือตอนฉากเรือที่นิวท์เดินทาง ก็รับรู้เหมือนนั่งในเรือจริงๆ แถมฉากอาหารก็มีกลิ่นหอมๆ ฟุ้งมาให้ฟินถึงจไม่ใช่กลิ่นอาหารก็เถอะ ที่ชอบอีกอย่างคือกลิ่นน้ำหอมเวลานิวท์อยู่ใกล้ๆ สาวๆ อย่างตอนใกล้ๆ ทีน่า ตอนอยู่ในบ้านโกลด์สตีน คือโอ๊ย ดีจัง 555 เหมือนได้ยืนข้างทีน่าจริงๆ กลิ่นหอมดีจัง DIVINE MAGIC สุด
แต่ข้อเสียของ 4Dx ที่ด้อยกว่าก็คือ แม้จะทรีดี แต่ก็ไม่ใช่ระบบ Frame Break แบบ IMAX แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียดายเท่าไหร่
MX4D Central World 500 บาท
ความรู้สึกเหมือน 4DX พารากอน แต่เพิ่มเติมเอฟเฟกต์ควันที่รกตาเพราะขึ้นมาหน้าจอเลยรบกวนสายตา เอฟเฟกต์หิมะ ที่ลอยอยู่แต่ด้านบนไม่ได้ลงมาสัมผัสที่ตัว ถ้าไม่เงยขึ้นไปมองไม่มีทางเห็น เอฟเฟกต์กลิ่นอาหารมาเป็นกลิ่นเชอร์รี่ฉุนจมูกมาก แต่ชอบกลิ่นโกโก้ดีสุดจากเอฟเฟกต์ที่นอกเหนือจากทางเมเจอร์พารากอน ฉากที่ควรมีกลิ่นสตูเดิลกลับไม่มีกลิ่น ฉากบางฉากก็ปล่อยเอฟเฟกต์น้ำพุ่งใส่หน้าจนรู้สึกรำคาญเพราะในภาพยนตร์มันไม่มีน้ำพุ่งใส่
โดยรวมรู้สึกว่าเอฟเฟกต์ของพารากอนทำจังหวะอารมณ์ได้ดีกว่า แต่ก็ยังแพงกว่า 100 บาท จังหวะของ MX4D นุ่มนวลไปบ้างจนรู้สึกว่าถ้าจะต้องการโดนเตะเบาะดูปกติก็ได้
ฉะนั้นหากว่ากันตามความรู้สึกแล้วชอบ 4Dx ของพารากอน แต่ก็แพงกว่า 100 บาท เอฟเฟกต์น้อยกว่า แต่ MX4D เยอะกว่าแต่เยอะไม่คุ้ม คิดว่าจะมีฝนตกกลับได้แค่ฟ้าร้อง คิดว่าหิมะจะโปรยปรายลงมาจนถึงที่นั่งก็ไม่ถึง ซึ่งว่ากันด้วยเอฟเฟกส์พิเศษ 4D ถ้างบไม่ถึงไม่ต้องจัดก็ได้ครับ
สิ่งที่รำคาญที่สุดใน 4D ทั้งสองที่คือ เสียงพ่นลมที่ดังจนหงุดหงิด
DIGITAL เสียงไทย 160 บาท
สำหรับระบบดิจิตอลเสียงไทย ต้องชมเรื่องแสงก่อน เพราะสว่างกว่าทั้งสองระบบข้างต้น เลยทำให้เห็นบรรยากาศชัดขึ้น อาจเพราะใช้สายตาปกติไม่ต้องพึ่งแว่นด้วยมั้ง สำหรับเสียงไทย หรือพากย์ไทย โดยรวมรู้สึกว่าปานกลาง ไม่ได้ดีงามหรือแย่ แต่ว่ากันด้วยเสียงพากย์แล้ว รู้สึกว่าเสียงของคุณนิรมลที่พากย์แมรี่ ลู แบร์โบน ยังไม่เหมาะสำหรับบทบาทของตัวละครนี้ เรียกว่าขัดอารมณ์เลย หรือเสียงของควีนนี่่ที่ยังรู้สึกว่าดูเด็กเกินไปหน่อย เมื่อเทียบกับต้นฉบับแล้วความสดใสสมวัยที่มีสเน่ห์ยังต่างกันค่อนข้างมาก เลยทำให้ซีนน่ารักๆ ดรอปลงไป ซึ่งในส่วนเสียงของคุณนิรมลผมชอบในเสียงตัวละครผ่านมากกว่าตัวละครหลัก คือสองตัวละครอย่างมาดามย่า โจว ที่คุยกับนิวท์ในห้องประชุมของมาคูซาที่ทีน่าเข้าไปยืนอยู่ตรงกลางแล้วมีผู้หญิงเอเซียถามขึ้น ผมว่าเสียงเหมาะลงตัวเลย รวมถึงเสียงตอนพากย์แชสทิตี้้ แบร์โบนก็ลงตัว แต่ตัวละครที่รู้สึกว่าเสียงพากย์ประทับใจสุดเห็นจะเป็น เซราฟิน่า พิกเคอรี มีพลังเหมาะกับเธอมาก รองมาคือเสียงของนิวท์ สคามันเดอร์ ที่หล่อสมเป็นพระเอก แต่รู้สึกจะมีการร่ายคาถาผิดเล็กน้อยในคาถาพีคของเรื่อง ไม่แน่ใจว่าหูผมฟังไม่ชัดรึเปล่านะส่วนเสียงพากย์ตัวละครอื่นๆ ผมโอเคนะ อย่างเสียงของนาร์ลักก๊อบลิน รู้สึกว่าเป๊ะเลย หรือเสียงครอบครัวชอว์ก็ดีงาม จริงๆ แอบหวังว่าอาวอจะพากย์เสียงบิงลีย์ด้วยน้ำเสียงสเนป อุตส่าห์คิดถึงแต่ไม่ได้ยิน T_T (ใครพากย์เป็นใคร คลิก!)
สำหรับพากย์ไทยผมค่อนข้างผิดหวังในตอนท้ายสุด ตรงคำพูดของทีน่าที่พูดถึงชื่อหนังสือ “สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่” แต่ทีน่าดันพูดว่า “สัตว์วิเศษและถิ่นที่อยู่” บอกเลยว่าผมสะเทือนใจอย่างสุดขั้วในการแปลนี้
แต่หากว่ากันโดยรวมของการเล่าเรื่องแล้ว ถือว่าทำได้ดีครับ เก็บรายละเอียดจากต้นฉบับได้ครบถ้วน แม้จะออกเสียงตัวละครอย่าง นาร์ลัก เป็น นาร์แล้ก ไม่ตรงกับอังกฤษ หรือ โน-แมจ (แหมด) ที่เป็น โน-แม้ด เลยดูตั้งใจมากไปนิดนึง แล้วก็การออกเสียงชื่อตัวละครที่ ครีเดนซ์บ้าง ครีเดนซ์บ้าง (อังกฤษออกเสียงครีเดนซ์) แต่การเล่าเรื่องทั้งหมด และอารมณ์ของเรื่องยังไปได้ดีอยู่ครับ
และเช่นเคย ด้วยอำนาจแห่งบทบัญญัติว่าด้วยความลับพ่อมดแม่มดนานาชาติ ผู้ใดที่สปอยล์เนื้อหาในที่สาธารณะไม่ว่าจะด้วยคอมเมนต์ การโพสต์ใน social network ถือมีความผิดตามกฎหมายเวทมนตร์! แต่หากดูภาพยนตร์มาแล้วและคันปากอยากคุยเหลือเกิน ผมขอแนะนำพื้นที่ในแฟนดอม https://muggle-v.com/fandom/forum-21/ ที่ให้คุณสมัครสมาชิก เข้าฟอรั่ม แล้วกรอกรหัสแสดงเวทมนตร์ด้วยคำว่า pickett คุณก็จะได้พูดคุยกับทุกคนที่ดูภาพยนตร์มาแล้วอย่างไม่ต้องกังวลว่าจะสปอยล์ เพราะทุกคนชมภาพยนตร์กันมาแล้วทุกคน