…และถิ่นที่อยู่

สัตว์ทุกตัวที่นิวท์ช่วยเหลือไว้ระหว่างการเดินทางได้รับแหล่งพักพิงอันปลอดภัยภายในกระเป๋าซึ่งเขาได้ใช้เวทมนตร์ทำให้มันขยายขนาดออกเพื่อรองรับความต้องการของพวกมัน

ผู้ออกแบบงานสร้าง สจ๊วต เครก กล่าวว่า ทีมงานได้พิจารณาแนวคิดมากมายในการสร้างพื้นที่ภายในกระเป๋า โดยตั้งใจหลีกเลี่ยงการสร้างกรงมาตั้งแต่แรก “เราศึกษาแนวทางต่างๆ มากมายว่าสถานที่แห่งนี้ควรมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่มันไม่ใช่สวนสัตว์ นิวท์ใส่ใจเรื่องการสงวนพันธุ์สัตว์เหล่านี้ รวมทั้งใส่ใจเรื่องความสบายและความสุขของพวกมันด้วย สุดท้ายเราจึงเลือกที่จะสร้างสภาพแวดล้อมแบบต่างๆ ซึ่งมีความเรียบง่ายแต่ก็ยังดูมหัศจรรย์อยู่ดี”

ในกระเป๋าของนิวท์

ในกระเป๋าของนิวท์

ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคล้ายฉากจำลองสามมิติ พื้นที่ทั้งหมดมาอยู่รวมกันก็จริง ทว่าแต่ละส่วนก็ได้รับการจัดภูมิประเทศและภูมิอากาศให้คล้ายถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์แต่ละชนิด แม้ว่าสร้างขึ้นจากเวทมนตร์ แต่ทีมงานก็จงใจทำให้สภาพแวดล้อมมีความดิบหยาบอยู่บ้าง ผู้กำกับศิลป์ โทบี บริตตัน อธิบายว่า “นิวท์พยายามสร้างภาพลวงตาให้พวกสัตว์นึกว่าตัวเองอยู่ในถิ่นที่อยู่ของมันตามธรรมชาติ ดังนั้นทุกๆ ส่วนจึงมีฉากหลังและสภาพอากาศตามแบบของมันเอง แต่มันก็ยังเป็นสิ่งที่จำลองขึ้นมาอยู่ดี เราใช้ท่อนไม้เป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง แต่คุณก็จะเห็นได้ตลอดว่าไม่มีอะไรที่ตรงเป๊ะ”

กริลโลขยายความว่า “มันสื่อให้เห็นว่านิวท์ไม่ใช่พ่อมดผู้ทรงอำนาจมหาศาลที่สร้างสภาพแวดล้อมทางชีวภาพได้อย่างไร้ขีดจำกัด มีข้อจำกัดปรากฏให้เห็นอยู่ตลอด เราจึงพยายามหาสมดุลระหว่างความน่าเกรงขามกับความเป็นจริง”

ทีมวิชวลเอฟเฟกต์ของเบิร์คและแมนซ์รับบทบาทสำคัญในการขยายขอบเขตของแหล่งที่อยู่เหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่ของสัตว์ขนาดใหญ่อย่างแกรปฮอร์นหรืออีรัมเพนท์ พวกเขายังได้สร้างสภาพบรรยากาศที่เหมาะสม รวมถึงสร้างหรือยกระดับภูมิประเทศให้สอดคล้องกัน ตั้งแต่สภาพแวดล้อมแบบอาร์กติกไปจนถึงป่าไผ่ ทะเลทรายอันแห้งแล้งและอื่นๆ

แมนซ์ระบุว่าทีมงานทำงานร่วมกับผู้กำกับภาพ ฟิลิปป์ รูสเซล็อตในการจัดแสงให้ฉากแต่ละฉาก “เมื่อเราก้าวเข้าไปในสภาพแวดล้อมแต่ละแห่ง การให้แสงก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปให้เหมาะกับพื้นที่นั้นๆ ดังนั้นเราจึงต้องให้ฟิลิปป์ดูภาพฟุตเทจจำลองล่วงหน้าเพื่อให้เขารู้ว่าจุดแบ่งอยู่ตรงไหนและทำให้ทุกอย่างประสานกลมกลืนกันมากที่สุด”

fantastic-beasts-06

ถิ่นที่อยู่ของสัตว์ทั้งหมดสร้างขึ้นในโรงถ่ายลีฟส์เดนของ Warner Bros. ซึ่งเครกและทีมงานของเขาได้สร้างฉากโลกเวทมนตร์และโลกโนแมจในนิวยอร์กยุคปี 1926 ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด “เป็นความท้าทายใหม่ครั้งยิ่งใหญ่ทีเดียวครับ” เครกกล่าว “ด้วยยุคสมัยที่แตกต่าง ประเทศที่แตกต่าง และวัฒนธรรมที่แตกต่างจากหนัง ‘Harry Potter’ โดยสิ้นเชิง”

ทีมผู้สร้างหนังเริ่มต้นศึกษาข้อมูลด้วยการเดินทางไปยังนครนิวยอร์กซึ่งเติบโตขึ้นมากจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมของเมืองเมื่อ 90 ปีก่อน อย่างไรก็ดี ทีมงานรวบรวมข้อมูลอ้างอิงมาได้เป็นจำนวนมาก “เรารวบรวมภาพถ่ายนับพันๆ ภาพ และเก็บข้อมูลอาคารที่เราอาจจำลองมาโดยตรงหรือนำมาใช้สื่อถึงยุคนั้นแต่ดัดแปลงไปบ้าง” เครกกล่าว “มีโลกอยู่สองใบโดยโลกใบหนึ่งนั้นซ่อนตัวอยู่ และโลกทั้งสองใบนี้จะต้องขัดแย้งแตกต่างกัน”

ด้วยการใช้พื้นที่ภายนอกของสตูดิโอ ทีมงานได้สร้างนครนิวยอร์กขึ้นมาเป็นส่วนๆ แยกจากกันเป็นรูปตัว T แต่ละส่วนแทนพื้นที่ส่วนต่างๆ ของเมือง เครกบรรยายว่า “พื้นที่ส่วนหนึ่งมีตึกห้องเช่าของย่านโลว์เวอร์ อีสต์ ไซด์ที่เจคอบอาศัยอยู่ อีกส่วนหนึ่งสร้างตามแบบย่านไทรเบคาโดยมีรายละเอียดงานเหล็กหล่อแบบคลาสสิกที่ไม่ได้พบเห็นกันทั่วไปและมีเสน่ห์ดึงดูดมากสำหรับคนที่สนใจงานสถาปัตยกรรม ที่ด้านบนของตัว T เราได้สร้างธนาคารที่นิวท์ได้พบเจคอบเป็นครั้งแรก เป็นอาคารใหญ่โตโอ่โถงซึ่งมีบันไดนำขึ้นไปสู่มุขทางเข้าที่มีเสาสูงอยู่ด้านนอกและพื้นที่ภายในที่หรูหราตกแต่งโดยหุ้มบรอนซ์และประดับหินอ่อนอันงดงาม ในพื้นที่ส่วนเดียวกันนั้นยังมีด้านหน้าของอาคารวูลเวิร์ทซึ่งในเวลานั้นเป็นตึกสูงที่สุดในโลก โดยเหล่าโนแมจไม่ได้ล่วงรู้ว่าเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ที่ปิดเป็นความลับของ MACUSA เรายังได้สร้างอาคารอะพาร์ตเมนต์หินสีน้ำตาลซึ่งทีน่าและควีนนี่อาศัยอยู่ด้วย เป็นการทำงานที่หนักหน่วงแต่ก็จำเป็นเพื่อให้ตัวละครได้เข้ามาอยู่ในเมืองอันยิ่งใหญ่นี้จริงๆ”

เยตส์ยืนยันว่า “มันใหญ่กว่าอะไรก็ตามที่เราเคยสร้างในหนัง ‘Harry Potter’ และผมกล้าพูดเลยว่าใหญ่กว่าอะไรก็ตามที่สจ๊วตเคยสร้างมาตลอดการทำงานในอาชีพนี้ แล้วทิม เบิร์คกับคริสเตียน แมนซ์ก็ขยายโลกใบนี้ให้กว้างออกไปอีกด้วยเทคนิคพิเศษทางดิจิตัล”

เบิร์คเสริมว่า “สจ๊วตสร้างฉากจริงอันน่าทึ่งซึ่งวางพื้นฐานให้หนังเรื่องนี้และช่วยให้เรามีสิ่งที่จับต้องได้ให้นำไปขยายต่อทั้งในแนวยาวและแนวตั้ง การร่วมงานกับเขาเพื่อดูว่าภาพทัศนมิติจากมุมต่างๆ เป็นอย่างไรนั้นดีมากครับ เพราะเรามักเพิ่มอาคารบางแห่งหรือภาพเส้นขอบฟ้าบางส่วนให้เหมือนในปี 1926 และสจ๊วตก็วางพื้นฐานเอาไว้ว่าทิวทัศน์เหล่านั้นควรมีหน้าตาเป็นอย่างไร”

แม้ไม่ได้เห็นฉากที่แต่งเติมด้วยวิชวลเอฟเฟกต์ แต่เอ็ดดี้ เรดเมย์นกล่าวว่าเขาจินตนาการปฏิกิริยาของนิวท์เมื่อเดินทางมาถึงนิวยอร์กได้ไม่ยากเลย “หลังจากใช้เวลาทำงานภาคสนามตามลำพังอยู่หนึ่งปี แล้วจู่ๆ ก็ได้ก้าวเข้าไปในสถานที่ซึ่งวุ่นวาย โหวกเหวก และมีสีสัน เขาจึงรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบตัวเต็มไปด้วยความน่าอัศจรรย์และน่าค้นหา ขอบเขตและขนาดของฉากนี้ยิ่งใหญ่อลังการมากครับ”

วอเตอร์สตันเห็นด้วย “ทีมงานลงรายละเอียดไม่มีพลาดเลยค่ะ วิเศษมากจริงๆ การได้เดินเข้าฉากนี้เป็นครั้งแรกเหมือนการเดินออกมาจากเครื่องย้อนเวลาเลยล่ะ”

เดวิด เฮย์แมน พา เจ.เค.โรว์ลิ่ง เยี่ยมชมกองถ่าย

เดวิด เฮย์แมน พา เจ.เค.โรว์ลิ่ง เยี่ยมชมกองถ่าย

โรว์ลิ่งเองก็ชื่นชมฉากนี้เช่นเดียวกับนักแสดง เธอเล่าถึงความรู้สึกเมื่อได้เห็นฉากนี้เป็นครั้งแรกว่า “เราอยู่บนรถกอล์ฟคันเล็กๆ ที่พาเราไปทั่วลีฟส์เดน แล้วพอเลี้ยวตรงหัวมุมเราก็จะพบนิวยอร์ก เหลือเชื่อมากค่ะ สจ๊วตเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริงในงานที่เขาทำ คุณส่งบทภาพยนตร์ไปให้ แล้วเขาก็สร้างออกมาได้ตรงเป๊ะเหมือนกับที่คุณจะทำถ้าคุณสามารถทำเองได้ นั่นคือมาตรฐานของทีมงานทุกคนที่ลีฟส์เดน คุณจะได้คนที่เป็นยอดฝีมือในงานด้านนี้จริงๆ”

พื้นที่ภายนอกอีกส่วนหนึ่งนั้นใช้เป็นฉากสวนสัตว์เซ็นทรัลพาร์คซึ่งนิวท์และเจคอบพบว่าพังไปเล็กน้อยด้วยฝีมือของอีรัมเพนท์ที่ตื่นเต้นเกินเหตุ เครกเปิดโอกาสให้ทีมงานดัดแปลงได้อย่างอิสระในฉากนี้ โดยกล่าวว่า “ที่จริงในปี 1926 ยังไม่มีสวนสัตว์นี้ครับ มีคลังแสงอยู่แห่งหนึ่งซึ่งทุกวันนี้ก็ยังคงอยู่ที่นั่น แล้วก็มีคนเริ่มรวบรวมสัตว์มาไว้ที่นี่ แต่มันยังไม่ได้กลายเป็นสวนสัตว์เซ็นทรัลพาร์คจนกระทั่งปี 1934”

ฉากสวนสัตว์ที่มีแอ็คชันน่าตื่นเต้นนั้นถ่ายทำในเวลากลางคืน จึงนับเป็นความท้าทายสำหรับรูสเซล็อตและทีมงานจัดแสง “เมฆลอยผ่านดวงจันทร์ทำให้เกิดแสงเงาที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ดังนั้นเราจึงไม่อยากใช้เครื่องมือที่ต้องตั้งอยู่กับที่” ผู้กำกับภาพรายนี้กล่าว “เราสร้างระบบขึ้นมาโดยใช้แผงไฟ LED ขนาด 40×40 ฟุต ที่ช่วยให้เราย้ายไฟจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่งและควบคุมความเร็วได้ เพื่อจำลองแสงจันทร์ตามธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป”

macusa-fb

ฉากสำคัญของโลกเวทมนตร์ในอเมริกาก็คือสำนักงานใหญ่ของ MACUSA ซึ่งฉากภายในอาคารสร้างขึ้นที่โรงถ่ายในลีฟส์เดน MACUSA เป็นอาคารอันงดงามซึ่งเหมาะแก่การเป็นที่ตั้งของรัฐบาลเช่นเดียวกับกระทรวงเวทมนตร์ของอังกฤษ แต่สถานที่สองแห่งนี้ก็ยังมีความแตกต่างที่ชัดเจนในบางแง่ กระทรวงเวทมนตร์นั้นสร้างตามแนวนอนในชั้นใต้ดินโดยมีโถงทางเดินยาวและวกวน ส่วน MACUSA นั้นสร้างตามแนวตั้งเพื่อให้เหมาะกับการซ่อนตัวอยู่ในตึกระฟ้า ทั้งสองแห่งเต็มไปด้วยพ่อมดแม่มดผู้มีธุระยุ่งและเร่งรีบไปจัดการธุระของตนเอง ทว่าขณะที่กระทรวงเวทมนตร์ส่งข้อความผ่านนกฮูกที่บินไปมาและข้อความบินได้ งานเอกสารที่ MACUSA นั้นจะถูกพับด้วยเวทมนตร์ให้เป็นออริกามิรูปหนูซึ่งจะวิ่งเข้าไปในท่อเพื่อเตรียมจัดส่ง

เมื่อเดินมาถึงทางเข้าของ MACUSA จะมีบันไดยาวนำขึ้นไปยังห้องโถงใหญ่อันอลังการซึ่งเครกได้ออกแบบในสไตล์อาร์ตเดโคที่ได้รับความนิยมในยุคทศวรรษ 1920 ฝาผนังลายทางขาวดำคั่นด้วยหน้าต่างสูงและแคบเป็นแนวยาว 750 ฟุตขึ้นไปจนถึงยอดตึก “ทำให้มันกลายเป็นมหาวิหารแห่งแสงซึ่งมีลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัว” เครกกล่าว ที่ผนังมีแนวกระเบื้องเซรามิกเป็นแถบสว่างและมืด ซึ่งเป็นรูปแบบอาร์ตเดโคแต่ที่จริงแล้วได้แรงบันดาลใจจากมหาวิหารเซียนาในอิตาลี ลิฟต์สีดำแบบมีลูกกรงกั้นตั้งอยู่สองฟาก และท่ามกลางความสับสนวุ่นวายก็ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกทั่วไปอย่างร้านขัดไม้กายสิทธิ์ซึ่งมีเอลฟ์ประจำบ้านเป็นผู้ดำเนินการ

บริการขัดไม้กายสิทธิ์โดนเอลฟ์ประจำบ้าน

บริการขัดไม้กายสิทธิ์โดนเอลฟ์ประจำบ้าน

ที่พลาดไม่ได้ก็คือมาตรวัดระดับภัยคุกคามจากการเผยความลับของโลกเวทมนตร์ เครื่องนี้มีโครงทำด้วยทองและมีหน้าปัดเป็นโดมกระจกอยู่ทั้งสี่ด้านเพื่อให้สามารถอ่านค่าจากทิศใดก็ได้ มันคอยเตือนให้เรารู้ถึงความหวาดกลัวของโลกเวทมนตร์ว่าจะถูกเปิดเผยตนแก่พวกโนแมจ สีต่างๆ บ่งบอกถึงระดับภัยคุกคาม ตั้งแต่สีเขียวหมายถึงอันตรายต่ำไปจนถึงสีแดง หมายถึงภาวะฉุกเฉิน ในเวลานี้มันอยู่ที่สีส้มซึ่งหมายถึง “เหตุการณ์รุนแรงที่ไม่ได้รับการอธิบาย” อันเป็นผลจากเหตุการณ์ลึกลับที่เกิดขึ้นตามท้องถนนในนิวยอร์ก ของประกอบฉากชิ้นสำคัญอื่นๆ ได้แก่ ภาพประธานเซราฟิน่า พิกเคอรีที่เคลื่อนไหวได้ รูปปั้นนกฟีนิกซ์สีทองอันน่าเกรงขามซึ่งเกาะอยู่ที่เสาของซุ้มโค้งสีทองและคอยจับตาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และตรงกลางของโถงนั้นก็มีรูปหล่อบรอนซ์ขนาดใหญ่เพื่อรำลึกถึงเหล่าแม่มดแห่งเซเล็ม

จากห้องโถงใหญ่ เราสามารถมองตรงไปยังสำนักงานด้านล่างได้ เครกให้รายละเอียดว่า “ยิ่งลงไปชั้นล่างของตึก งานที่ทำก็จะเป็นระดับต่ำลงเรื่อยๆ และสภาพแวดล้อมก็ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น สำนักงานของมือปราบมารนั้นอยู่ชั้นบน ขณะที่สำนักงานของทีน่าในฝ่ายทะเบียนไม้กายสิทธิ์นั้นอยู่ในชั้นใต้ดินอันแออัด”

010

แผนกออกใบอนุญาตพกพาไม้กายสิทธิ์

ขณะเกิดเรื่องราวใน “Fantastic Beasts” นั้น MACUSA กำลังจัดการประชุมสมาพันธรัฐพ่อมดนานาชาติ ซึ่งคล้ายกับสหประชาชาติในโลกโนแมจ องค์กรอันเคร่งขรึมจริงจังนี้กำลังถกกันอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับเหตุความไม่สงบที่ไม่มีคำอธิบายในนิวยอร์ก รวมถึงผลสะท้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมา แล้วจู่ๆ ทีน่าก็ถลันเข้ามากลางที่ประชุมโดยไม่บอกกล่าว… พร้อมกับแฟ้มคดีของนิวท์ เครกเล่าว่าเขาจินตนาการฉากนี้เอาไว้อย่างไร “ผมต้องการห้องประชุมซึ่งถอดแบบเค้าโครงบางส่วนจากสภาขุนนางของอังกฤษ โดยมีที่นั่งอยู่สองฝั่งและประธานพิกเคอรีนั่งเป็นประธานอยู่ทางฟากหนึ่งบนเก้าอี้ที่ดูคล้ายบัลลังก์ ที่นั่งลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ และทุกคนบนนั้นจะมองลงมายังทีน่าขณะที่เธอถูกตั้งคำถาม ทำให้มันเป็นสถานที่ที่ชวนให้หวาดหวั่น ซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างนั้นล่ะครับ”

ต่อมานิวท์ ทีน่า เจคอบ และควีนนี่่ ก็มาเข้าร่วมการประชุมอีกรูปแบบที่แตกต่างออกไปมากในสถานที่ซึ่งไร้ความยิ่งใหญ่อลังการใดๆ นั่นก็คือร้านเหล้าเถื่อนในโลกเวทมนตร์ที่มีชื่อว่า เดอะ บลายด์ พิก “กฎการห้ามขายเหล้ายังบังคับใช้อยู่ในปี 1926 ดังนั้นเราจึงสร้างร้านเหล้าเถื่อนใต้ดินขึ้นมา” เครกกล่าว “มีป้ายประกาศจับที่เคลื่อนไหวได้อยู่บนผนังและป้ายนั้นก็มีคราบนิโคตินเขรอะไปหมด เราสนุกกับการทำให้มันดูดิบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

fantastic_beasts_creatures_01

เบิร์คและแมนซ์ก็สนุกไม่แพ้กันในการใส่ตัวละครลงไปในบาร์นี้ เบิร์คเล่าว่า “ร้านนี้มีวงแจ๊ส แต่เพื่อเพิ่มเวทมนตร์ลงไปในนั้น เราได้สร้างวงแจ๊สของก็อบลินโดยมีนักร้องนำเป็นก็อบลินสุดเซ็กซี่ และพนักงานบาร์กับพนักงานเสิร์ฟก็เป็นเอลฟ์ประจำบ้าน”

คนทั้งสี่ไปที่นั่นเพื่อพบเจ้าของร้าน เดอะ บลายด์ พิก นั่นคือก็อบลินชื่อนาร์ลัก ซึ่งเป็นสายสืบให้ทีน่าตอนเธอเป็นมือปราบมาร นักแสดงสูงหกฟุตอย่าง รอน เพิร์ลแมน ถูกแปลงโฉมจนแทบจำไม่ได้เพื่อรับบทเป็นนาร์ลักสูงสี่ฟุต แต่ไม่มีทางที่เราจะลืมเสียงของเขา “ผมตื่นเต้นมากเลยครับที่ได้รับเชิญให้มาร่วมงานสังสรรค์ครั้งนี้” เพิร์ลแมนกล่าว “ผมจะไม่โกหกหรอกนะว่าบทนี้เล่นไม่ยากหรอกครับ ผมเติบโตมาในนิวยอร์กและเคยเห็นคนแบบนี้ ร้านของนาร์ลักรองรับคนที่อยู่ในมุมมืดของสังคม คนที่ดูเสื่อมทรามและเขาเองก็ดูเสื่อมทรามที่สุดในหมู่คนเหล่านี้เพราะเขาเป็นนายใหญ่ผู้จัดการสรรหาอบายมุขทั้งหลายมา ร้านนี้อาจดูเก่าโทรมแต่ก็เป็นที่ที่คุณสามารถหาอะไรดื่ม หาสาวสักคน เล่นพนัน และผ่อนคลายได้ คล้ายกับว่า ‘อยากสังสรรค์เฮฮางั้นเหรอ ไปที่เดอะ บลายด์ พิก สิ’”

นาร์ลัก แสดงโดย รอน เพิร์ลแมน

นาร์ลัก แสดงโดย รอน เพิร์ลแมน

ทีมงานวิชวลเอฟเฟกต์ใช้เทคนิคการจับความเคลื่อนไหวบนใบหน้าเพื่อแปรสภาพเพิร์ลแมนให้เป็นนาร์ลัก แมนซ์อธิบายว่า “รอนจะต้องติดจุดราวเจ็ดสิบจุดบนใบหน้าและมีหมวกติดกล้องอยู่บนหัวเพื่อเก็บข้อมูลการแสดง เรายังมีกล้องอีกหกตัวไว้ถ่ายทำทุกอย่างที่เขาทำเอาไว้ให้นักสร้างแอนิเมชัน เพื่อทีมงานจะได้ถ่ายทอดออกมาให้เห็นว่ารอนจะมีท่าทางเป็นอย่างไรเมื่อมีขนาดเท่าก็อบลิน กุญแจสำคัญอยู่ที่ว่าคุณต้องเชื่อว่านาร์ลักมีอยู่จริง เขาไม่ใช่ตัวการ์ตูน เขาเป็นตัวละครที่มีชีวิตและมีลมหายใจในจักรวาลนี้”

ฉากอื่นๆ ซึ่งสร้างขึ้นที่โรงถ่ายลีฟส์เดน ได้แก่ ฉากห้องทำงานอันหรูหราของเฮนรี่่ ชอว์ ซีเนียร์ และห้องข่าวที่วุ่นวายซึ่งอยู่ติดกัน ห้องของเจคอบซึ่งมีเครื่องเรือนน้อยชิ้น และแฟลตหินสีน้ำตาลที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวของทีน่าและควีนนี่่ ซึ่งพี่น้องสองสาวได้ต้อนรับนิวท์และเจคอบด้วยอาหารทำเองจากเวทมนตร์ เครกยังได้ออกแบบชานชาลารถไฟใต้ดินในแบบอาร์ตเดโคของยุคนั้น เพื่อใช้สำหรับการประลองตัดสินสุดอันตรายระหว่างพลังด้านมืดและด้านสว่าง

มีฉากสองฉากที่ถ่ายทำกันนอกลีฟส์เดนในเมืองท่าลิเวอร์พูลของอังกฤษ อาคารคูนาร์ดถูกใช้แทนห้างสรรพสินค้าที่ว่างเปล่าซึ่งนิวท์และเพื่อนใหม่ของเขาพบสัตว์สองตัวที่หายไป ขณะที่อาคารเซนต์จอร์จฮอลล์อันยิ่งใหญ่ใช้เป็นฉากโถงเลี้ยงรับรองสำหรับงานราตรีสโมสรเพื่อเป็นเกียรติแก่วุฒิสมาชิกชอว์ก่อนจะเกิดเรื่องในเวลาต่อมา

ภาพยนตร์สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ ภาคแรก มีกำหนดฉายในไทย 17 พฤศจิกายนนี้ทุกโรงภาพยนตร์