อีวานน่า ลินช์ (Evanna Lynch) อดีตนักแสดงเจ้าของบท ลูน่า เลิฟกู๊ด กล่าวถึงอลัน ริคแมน ภายหลังจากที่เขาเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง ด้วยวัย 69 ปี เมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา ผ่านทาง Facebook อย่างเป็นทางการของเธอ
[divider type=2 bg_color=”brown”]
I don’t have many stories to share about Alan Rickman because, truthfully, I was terrified of him as Snape and throughout the course of the films I always gave him a wide berth. But I wanted to share the brief but significant encounters I had with him. He was probably the only cast member who met my fangirl expectations because everybody else broke character to be nice to me and make me feel welcome to the Potter family, and also to be themselves, while he remained impassively, Snape. So I assumed he WAS Snape and made myself small whenever he went gliding past in those big, shadowy black robes.
ฉันไม่มีเรื่องเกี่ยวกับอลัน ริคแมนจะแชร์มากนัก เพราะตามจริงแล้ว ฉันกลัวเขาในบทสเนปมากและทิ้งระยะห่างจากเขาตลอดระยะเวลาถ่ายทำ แต่ฉันอยากจะแชร์เรื่องราวอันสังเขปทว่าสลักสำคัญระหว่างที่ฉันได้พบเขา เขาอาจจะเป็นคนเดียวในกลุ่มนักแสดงที่ตอบสนองความคาดหวังของแฟนเกิร์ลอย่างฉันได้เต็มที่ เพราะทุกคนออกจากบทบาทตัวะครเพื่อต้อนรับขับสู้ฉันอย่างน่ารักเข้าสู่ครอบครัวภาพยนตร์พอตเตอร์ และเพื่อเป็นตัวของตัวเอง ในขณะที่เขายังคงตีหน้าตายเป็นสเนป ฉันเลยทึกทักเอาว่าเขา ‘คือ’ สเนปและทำให้ฉันรู้สึกตัวเล็กลงหนใดก็ตามที่เขาเหมือนจะร่อนไปบนพื้นโดยสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ยาวสีดำสนิท
Among the only people who didn’t keep their distance were the throngs of children he used to bring to lunch in the canteen. It was odd that any of the adult actors would lunch in the canteen, but odder still that Snape would, surrounded by a group of giddy little girls and boys. I was told that they were his friends’ children and that NO, I would not be allowed to bring that many guests, and nor would anyone but that nobody fancied the task of telling Alan he shouldn’t invite his friends’ eager young children to the studio on a weekly basis. Thus we all enjoyed the bizarre sight of Snape in his all-black, bat-like glory sitting head and shoulders above a gang of unnaturally unfazed children. For me, these glimpses of Snape chatting quite amiably to young people was the only hint that there was an Alan in there too and that he was in fact very, very nice.
หนึ่งในกลุ่มคนที่ไม่รักษาระยะห่างจากเขาคือกลุ่มเด็กที่เขาพามาทานอาหารกลางวันในโรงอาหาร มันแปลกพออยู่แล้วที่นักแสดงผู้ใหญ่จะมาทานอาหารในโรงอาหาร และยิ่งแปลกหนักเข้าไปอีกเมื่อเป็นสเนป ที่รายล้อมด้วยกลุ่มเด็กชายหญิงเหมือนจับปูใส่กระด้ง มีคนบอกฉันว่านั่นคือลูก ๆ ของเพื่อน ๆ เขา และฉันไม่ได้รับอนุญาตให้นำแขกมาเยอะขนาดนี้ หรือใครก็ตามก็คงไม่ได้รับอนุญาต แต่ไม่มีใครใคร่จะรับภารกิจไปบอกอลันว่าเขาไม่ควรชวนลูก ๆ ผู้กระตือรือร้นของเพื่อนฝูงมาที่สตูดิโอทุกสัปดาห์ ดังนั้นเราจึงเพลิดเพลินกับการได้เห็นสเนปในเสื้อคลุมสง่างามเหมือนค้างคาวสีดำนั่งตัวสูงพ้นแก๊งเด็กที่ไม่อึดอัดใจกับเขาจนผิดธรรมชาติ สำหรับฉัน การได้เหลือบมองเห็นสเนปพูดคุยอย่างเป็นมิตรกับคนเด็กกว่าเป็นการแย้มเปรยเพียงเล็กน้อยว่ามีอลันอยู่ข้างในนั้น และเขาเป็นคนที่นิสัยดีเอามาก ๆ
It wasn’t until a few years later that I had the chance to meet Alan as himself. It was at a charity dinner and our nameplates were next to each other. I started to panic quietly and I even asked another guest would he like to take my seat! But an organiser insisted we sit at our assigned seats and I steeled myself for the most awkward dinner conversation of my life!! I sat down and much to my shock he greeted me warmly and by name. My real name! That put me at ease and after that I was quite happy for him to feign intense interest in his dinner plate rather than make casual chit-chat with me. But he did keep talking to me, asked lots of questions and seemed genuinely interested in my interests and projects.
หลายปีผ่านไป ฉันจึงได้พบกับอลันตัวเป็น ๆ ที่งานอาหารค่ำการกุศล และเราได้ที่นั่งติดกัน ฉันเริ่มจะตื่นตระหนกอยู่เงียบ ๆ และถึงกับถามแขกอีกคนด้วยซ้ำว่าอยากสลับที่นั่งกันไหม! แต่คนจัดงานยืนกรานว่าเราต้องนั่งที่ที่จัดไว้ให้ และฉันตั้งป้อมรอรับบทสนทนาระหว่างอาหารค่ำที่อาจจะน่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่สุดในชีวิต! ฉันนั่งลงและช็อกมากเมื่อเขาทักทายฉันด้วยชื่ออย่างอบอุ่น เรียกชื่อจริงของฉันเลย! นั่นทำให้ฉันหายประหม่าและหลังจากนั้นฉันก็ดีใจที่เขาแกล้งทำเป็นใส่ใจจานอาหารอย่างเอางานเอาการมากกว่าที่จะคุยเจ๊าะแจ๊ะ แต่เขาก็คุย ถามคำถามหลายอย่าง และดูสนใจเกี่ยวกับความสนใจและโปรเจกต์ต่างๆ ของฉันจริง ๆ
The conversation got round to acting quickly and at the time I was stressing about the pressure I felt to already be a successful actress and that I’d run out of time to make mistakes. I was aware I was talking about myself so I kept trying to shift the conversation back to him but he just wanted to help. He told me he hadn’t known what he’d wanted to be out of school, that he’d gone to art school first to be a graphic artist and had come to acting a few years later when he applied for drama school. As an actress, already having to lie about my age at 24, it seems mad that Alan only found his vocation and began his acting journey at 26 and turned out to be…Alan Rickman.
บทสนทนาถูกวนไปเรื่องการแสดงอย่างรวดเร็ว และในตอนนั้นฉันกำลังเครียดกับแรงกดดันว่าต้องเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จโดยยังไม่มีเวลาไว้ลองผิดลองถูกเลย ฉันรู้ตัวว่าฉันกำลังพล่ามถึงแต่ตัวเองจึงพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนากลับไปที่เขา แต่เขาต้องการจะช่วย เขาบอกฉันว่าเขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรเมื่อออกจากโรงเรียน ว่าเขาไปเรียนศิลปะก่อนเพื่อเป็นศิลปินกราฟิก และค่อยเข้าวงการแสดงได้สองสามปีหลังจากนั้นเมื่อเขาสมัครเข้าเรียนโรงเรียนการแสดง ในฐานะนักแสดงผู้ที่ต้องโกหกเรื่องอายุตัวเองเสียแล้วในขณะที่อายุ 24 ปี มันบ้ามากที่อลันเพิ่งได้พบวิชาชีพของตนและเริ่มแสดงตอนอายุ 26 แล้วกลายมาเป็น… อลัน ริคแมน
But when I told him that I was worried if I didn’t figure myself out quickly I would miss the most important opportunities and never get them back, he simply told me that I was focusing on the wrong thing. He said not to worry about getting ‘there’ and instead to focus on feeding my soul and following my heart from place to place. And then he gave me the loveliest acting advice I’ve ever gotten.
แต่เมื่อฉันบอกเขาว่าฉันกังวลว่าถ้าค้นพบตัวเองไม่เร็วพอ เมื่อนั้นฉันอาจจะพลาดโอกาสที่สำคัญที่สุดและไม่มีวันได้มันคืนมาอีก เขาเพียงแค่บอกว่าฉันกำลังใส่ใจผิดจุด เขาบอกว่าไม่ต้องกังวลเรื่องการไปถึงเป้าหมาย แต่ให้โฟกัสการเติมเต็มจิตวิญญาณตัวเองและตามหัวใจตัวเองจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ให้คำแนะนำเรื่องการแสดงที่น่ารักที่สุดที่ฉันเคยได้
‘People think that they’re watching this’ he said waving his hand in front of his face, ‘but really they’re watching this’ and he pounded his fist on his heart centre. After dinner, I thanked him for the advice though for some reason he rejected the notion that he’d given me any advice (I don’t know why) but whatever it was, it truly stuck with me and it made me start living differently, being more in tune with my heart, listening and following its rhythms and wishes and surrendering the need to control my life.
“คนเราคิดว่าพวกเขากำลังมองนี่” เขาโบกไม้โบกมือไว้ตรงใบหน้า “แต่ที่จริงเขากำลังมองนี่” และเขาทุบกำปั้นลงตรงหัวใจ หลังจากอาหารค่ำ ฉันขอบคุณเขาสำหรับคำแนะนำ แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เขาปฏิเสธว่าเขาไม่ได้แนะนำอะไรเลย (ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม) แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม มันตรึงใจฉันและทำให้ฉันเริ่มใช้ชีวิตต่างออกไปจากเดิม รับรู้ถึงท่วงทำนองของหัวใจมากขึ้น ฟังและเดินตามจังหวะและความหวังของมัน ละทิ้งซึ่งทุกความรู้สึกจำเป็นที่จะต้องกุมบังเหียนควบคุมชีวิตตนเอง
After that meeting I thought about him a lot and what a truly lovely, kind, generous person he was. For someone as established, wise and revered as he, the greatest gift you can give someone is your full attention and presence in the moment. Most people of his measure of talent and intellect are extremely busy and are anxious for you to know this. You start to talk to them and their eyes are already darting to the other corners of the room, their fingers reaching for their phone where a million more interesting people are pinging away at their inbox. They can’t afford to spend their precious time and entire mental facilities just on you, so mostly they just give you a bit, just for a few minutes. But Alan Rickman was not that at all. In the hour I sat with him, he managed to be completely present, kind, attentive and curious about someone who did not expect or look for that from him. It says a lot about him, how nice a person he was and what discipline it must have taken to stay in character so much. It must have been hard to play Snape and to have to alienate himself from everyone. It must have been hard to have to stop smiling at people. And uncomfortable to make others so uncomfortable. There aren’t that many actors that would go to such lengths for the integrity of their character. There were deep and heart-breaking reasons why Snape didn’t smile, why he is such a loner and the most stubbornly emo adult ever. I so appreciate the fact that he cared that much about his character, that he didn’t dismiss Harry Potter as a ‘kids film’, a handy job and a sizeable paycheck. He loved and honoured Snape the way all beloved characters deserve and he made the Harry Potter world that much more real for us.
หลังจากการพบกันหนนั้น ฉันคิดถึงเขาหลายหนว่าเขาช่างเป็นคนที่น่ารัก ใจดี และใจกว้างเช่นไร สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จ ฉลาด และเป็นที่เคารพอย่างเขา ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะมอบให้ใครสักคนได้คือความใส่ใจและการอยู่ตรงนั้นเพื่อคุณ คนส่วนใหญ่ในระดับความสามารถและสติปัญญาของเขามักงานรัดตัวและใจร้อนรนจะให้คุณรู้ด้วยว่าเขากำลังยุ่ง คุณเริ่มคุยกับพวกเขาและสายตาของพวกเขาเริ่มวอกแวกไปทางอื่น นิ้วมือคว้าหยิบโทรศัพท์ที่ผู้คนซึ่งน่าสนใจมากกว่าคุณนับล้านกำลังส่งข้อความหา พวกเขาไม่สามารถใช้เวลาอันมีค่าและความตั้งใจจดจ่อทั้งหมดให้แค่กับคุณได้ ฉะนั้นส่วนมากพวกเขาจะให้คุณเพียงหยิบมือ เพียงไม่กี่นาที แต่อลัน ริคแมนไม่ใช่แบบนั้นเลย ในชั่วระยะเวลาที่ฉันนั่งกับเขา เขาอยู่กับฉัน เขาใจดี รับฟัง และใคร่รู้เกี่ยวกับคนที่ไม่ได้หวังหรือคอยมองหาสิ่งพวกนั้นจากเขาเลย มันบอกได้หลายอย่างเกี่ยวกับเขา เขาเป็นคนจิตใจดีแค่ไหน และมันต้องใช้วินัยขนาดไหนจึงจะสามารถอยู่ในบทบาทของตัวละครได้ถึงขนาดนั้น มันน่าจะยากเอาการสำหรับการเล่นเป็นสเนปและต้องแยกตัวเองออกจากทุกคน มันคงยากที่ต้องหยุดยิ้มให้คนอื่น และคงน่าอึดอัดที่ทำให้คนอื่นอึดอัดใจ มีนักแสดงไม่กี่คนนักที่ยอมไปไกลถึงเพียงนั้นเพื่อศักดิ์ศรีของตัวละคร มันมีเหตุผลอันลุ่มลึกและน่าโศกเศร้าว่าเหตุใดสเนปจึงไม่ยิ้ม ทำไมเขาจึงเป็นคนสันโดษและเป็นผู้ชายอีโมที่หัวดื้อที่สุดในโลกหล้า ฉันซาบซึ้งกับข้อเท็จจริงที่ว่าเขาใส่ใจตัวละครเหลือเกิน และเขาไม่ได้เมินแฮร์รี่ พอตเตอร์ว่าเป็น ‘หนังสำหรับเด็ก’ งานง่ายดายที่ทำให้ได้เงินก้อนโต เขารักและให้เกียรติสเนปในวิถีทางที่ตัวละครผู้เป็นที่รักทุกตัวสมควรได้รับ และทำให้โลกของแฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นจริงยิ่งขึ้นสำหรับพวกเรา
I can’t quite believe he’s not here anymore. I somehow still think actors are immortal like the characters they play but then they leave us. Please honour his memory and what he gave us by talking about and sharing stories and continuing to celebrate his legacy so then he will be here, as we like to say, ‘Always’.
ฉันยังไม่สามารถเชื่อได้ลงว่าเขาไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว ฉันยังคิดว่านักแสดงเป็นอมตะเหมือนกับตัวละครที่พวกเขาเล่น แต่แล้วพวกเขาก็จากเราไป ได้โปรดให้เกียรติความทรงจำเกี่ยวกับเขา และสิ่งที่เขาได้ให้เราไว้โดยการพูดคุยและแบ่งปันเรื่องราว สรรเสริญสิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้ให้เรา เพื่อที่เขาจะได้อยู่ที่นี่ — อย่างที่เราพูดกันว่า – ‘ตลอดไป’