เมื่อมีเริ่มก็ต้องมีจบ ไม่ว่าจะเรื่องประสบการณ์อะไรที่ผ่านมาในชีวิตก็เป็นเช่นนั้น การตามรอยแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่อังกฤษคราวนี้ก็เหมือนกัน ถือเป็นทริปครั้งสุดท้าย (ของรอบนี้) แล้ว…สิ่งที่คาดหวัง รอคอย ท้ายที่สุดก็ถึงเวลาที่ได้เจอและได้เห็น กับการเดินทางอันแสนยาวไกล…ถ้าหลังจากนี้โชคชะตาและเวลามันเอื้ออำนวย การเริ่มต้นใหม่ก็อาจเกิดขึ้นอีกรอบละนะ (แน่นอนว่าเรื่องเที่ยวต้องมีปัจจัยเรื่องเงินด้วย)…เอาล่ะ หยุดเวลาสำหรับการพร่ำเพ้อ แล้วพาคนอ่านไปนั่งรถไฟขึ้นเหนือ กับทริปจากฟอร์ทวิลเลี่ยมสู่มัลเลก ณ ไฮแลนด์ดีกว่า ตามพี่ลิลี่มาเลยค่ะ
วันที่ 12 กรกฎาคม 2012
วันนี้เป็นวันเดินทางที่แสนยาวนานมากจริงๆ (นานจนเจ็บระบม…ก้นน่ะนะ เหอะๆ) เราออกจากเมืองนิวคาสเซิลด้วยรถไฟรอบ 7.41 น. แล้วไปเปลี่ยนรถไฟที่เอดินบะระเพื่อนั่งต่อไปลงที่สถานีสเตอร์ริ่ง แล้วเปลี่ยนรถไฟที่สเตอร์ริ่งไปที่สถานีกลาสโกว์ควีนสตรีท แล้วจากกลาสโกว์ก็นั่งรถไฟยาวมาที่สถานีฟอร์ทวิลเลี่ยม (แต่มีแยกส่วนขบวนรถไฟที่สถานีนึงด้วยนะ เพราะสายที่นั่งมันเทอร์มิเนท 2 ที่น่ะ) แน่นอนว่าระหว่างทางก็มีหลับบ้าง ง่วงบ้างเป็นธรรมดา (ก็ในเมื่อต้องออกซะเช้านี่) แต่วิวตามทางก็สวยดี แต่น่าเสียดายท้องฟ้าไม่แจ่มใส ถึงฝนจะไม่ตกก็เถอะ
*คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพใหญ่
พอมาถึงฟอร์ทวิลเลี่ยมช่วงบ่าย เราก็เข้าเช็คอินที่พัก เดินชมวิวไปเรื่อย ให้อารมณ์ผ่อนคลายเสียบ้าง แล้วก็หาของกินซึ่งถือว่ายากนะ เพราะมีร้านให้เลือกไม่มากนักหรอก สุดท้ายก็เลยเลือกร้านอาหารจีน กินข้าวหมูแดงกับไก่ไป (ซึ่งเอาตามตรงก็ไม่ได้อร่อยอะไรนักหรอก) แล้วถึงเดินร่อนไร้จุดหมายไปทั่วเมือง ดูวิว ชมบรรยากาศสงบๆไปเรื่อย ก่อนกลับที่พัก
วันที่ 13 กรกฎาคม 2012
วันนี้ก็ยังเป็นทริปนั่งรถไฟเมื่อยก้นอีกเช่นเดิม เราเช็คเอ้าท์ที่พักที่ฟอร์ทวิลเลี่ยมแล้วไปนั่งรถไฟจาโคไบท์รอบ 10.15 น. เส้นทางคือจากฟอร์ทวิลเลี่ยมไปมัลเลก
[ข้อมูลรอบเวลาและราคา >>คลิกที่นี่<<]
ระหว่างทางเราจะได้เห็นวิวธรรมชาติที่สวยดูแล้วเพลินตาดี ทั้งภูเขา ทะเลสาบ ท้องฟ้าก็ฟ้าแจ่มใส
แล้วสักพักใหญ่รถไฟก็ประกาศแจ้งให้ผู้โดยสารรู้ว่า รถไฟใกล้จะแล่นไปถึงเกล็นฟินแนนไวเออะดัคท์ (Glenfinnan Viaduct) ซึ่งเป็นสะพานโค้งทางรถไฟที่เราเห็นกันในหนังภาค 2-4 แล้วนะ ใครที่อยากถ่ายรูปจะได้เตรียมตัว (แน่นอนว่าก็เราคนนึงล่ะ)
จากสะพานโค้งสูงแล่นไปอีกนิดก็ถึงสถานี รถไฟจะจอดที่สถานีเกล็นฟินแนนพักนึง เพื่อให้พวกผู้โดยสารได้เดินชมบรรยากาศรอบๆสถานีหน่อย ถ้าใครอยากเข้าไปดูของโชว์ในพิพิธภัณฑ์เล็กๆที่ชื่อ West Highland Railway Museum ก็ได้ เพราะมันก็อยู่ตรงสถานีแหละ และที่ตลกอยู่อย่างก็คือมีไม้กวาดอยู่ด้ามนึง คนก็บ้าจี้ไปถ่ายกับมันประหนึ่งว่าขี่ไม้กวาดแข่งเนอะ (ถามว่าเราทำไหม…ก็ทำเหมือนกัน ฮุๆ)
จากนั้นเราก็เดินทางผ่านหุบเขา ลัดเลาะเลียบทะเลสาบกันต่อ ในทะเลสาบบางจุดก็มีเกาะเล็กๆ ทำให้นึกถึงฉากธรรมชาติหลายฉากที่เป็นฉากรอบฮอกวอตส์ และฉากเส้นทางตามสายรถไฟด่วนฮอกวอตส์เลย (ก็แน่ล่ะฉากธรรมชาติส่วนใหญ่ก็อาศัยวิวหลายสถานที่ในไฮแลนด์นี่) เห็นแล้วอยากขี่บัคบีคบินร่อนแตะพื้นน้ำเลย >//< แล้วยิ่งท้องฟ้าสดใสนะ ภาพถ่ายออกมาชวนฟินเว่อร์อยากบินได้เลย
พอไปถึงสถานีมัลเลกซึ่งเป็นปลายทาง เห็นน้ำทะเลแล้วสวยมาก สีน้ำเงินอมเขียว ก็อย่างว่านะมันเป็นทะเลที่หันไปหามหาสมุทรแอตแลนติกสีน้ำก็สวยอยู่แล้ว เรียกได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะเคยเห็นสีน้ำทะเลที่สวยที่สุดก็ที่นี่แหละ (ความคิดเห็นส่วนตัว: น้ำจริงจะสวยกว่าในรูปนิดนึง แต่สีก็ไม่ได้ต่างกันมาก แต่ยังไงก็ต่างจากทะเลไทยอ่ะนะ)
แต่ก่อนจะตะลอนทั่วเมือง เราก็หาฟิชแอนด์ชิปกินง่ายๆก่อนละกัน (ก็แหม มาเมืองชายทะเลก็ต้องกินปลาสิ)…พออิ่มก็ถึงเวลาลากกระเป๋า (ก็แน่ล่ะ ไม่มีที่ฝากนี่ เป็นยัยบ้าลากกระเป๋าเดินทางตลอดวันแหละ) เดินชมตัวเมืองกับธรรมชาติแถวนั้นไปทั่ว มีเข้าฮิสทอริคอลเซ็นเตอร์ของเมืองนี้ด้วย
ที่จริงตอนแรกว่าจะนั่งเรือชมวิวด้วย แต่รอบเวลาดันไม่ได้ ไม่ลงล็อคซะนี่เลยอดตามระเบียบจ้า (ถ้ามีโอกาสมาอีกจะค้างคืนซะเลยคราวหน้า) ต้องเปลี่ยนแผนลากกระเป๋าไปนั่งชมวิวบ้างล่ะ เดินในตัวเมืองบ้างล่ะ แล้วท้ายที่สุดก็มานั่งแหง่วที่สถานีรอรถไฟขากลับ
จากนั้นชั่วโมงอันยาวนานในการนั่งรถไฟก็ยาวเลยจนมาถึงเมืองกลาสโกว์ตอน 3 ทุ่มครึ่ง (ขากลับนี่ฝนตกจ้า ดีนะไม่ตกตอนเดินเที่ยวอยู่) และกว่าจะออกจากสถานี กว่าจะเช็คอินที่พัก แล้วไปกินพิซซ่าที่พิซซ่าฮัทเป็นมื้อเย็น (จริงๆคือมื้อดึกมากกว่า กินอยู่เป็นคนสุดท้ายของร้านเลย เหอะๆ) กว่าจะกลับเข้าห้องก็ปาไป 5 ทุ่มกว่า เหอะๆ ไม่เหนื่อยก็เกินไปแล้วล่ะ
แต่ก็นะ ถึงจะเหนื่อยกับการเดินทางยังไง ถ้าเป็นสิ่งที่เราตัดสินใจที่จะทำมันไปด้วยตัวเอง มันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยหรืออยู่ค้างๆคาๆกับแค่ฝันไม่ใช่เหรอ แม้ว่าระหว่างทางอาจจะเจออะไรที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่มันก็เป็นประสบการณ์บทหนึ่งในชีวิตที่ต้องเผชิญนี่นะ ถ้าทำถึงที่สุดแล้ว ที่เหลือก็แค่ยิ้มรับมัน…..ดีใจนะ แล้วก็รู้สึกขอบคุณตัวเราเองด้วยที่เรากล้าที่จะเริ่มโปรเจคต์ตามรอยนี้ หวังว่าจะมีโอกาสได้กลับไป UK ต่อยอดสถานที่อื่นที่ยังไม่ได้ไปในรอบนี้อีกครั้งในโอกาสหน้า และสุดท้ายต้องบอกว่าขอบคุณ Harry Potter ที่เปิดโลกกว้างให้กับเรา ขอบคุณจริงๆ
แหล่งอ้างอิง
– หนังสือ Harry Potter on Location
– ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับ
– ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับนักโทษแห่งอัซคาบัน
– ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี
– คลิปวีดีโอ ตามรอยแฮร์รี่ พอตเตอร์ ตอน 18
– เว็บ Ezinemark (อ้างอิง)
– เว็บ HP Lexicon (อ้างอิง)
– เว็บ IMDB (อ้างอิง)
– เว็บ Travel Britannia (อ้างอิง)