หลังจากที่มีการเปิดเผยบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มของ เจ.เค.โรว์ลิ่ง ในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเธอเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วันนี้ทีมงาน Muggle-V แปลเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ อาจจะนานไปหน่อย ต้องขออภัยด้วยครับ
ใครที่อยากอ่านฉบับภาษาอังกฤษอีกรอบ คลิกเลยครับ
ไม่ให้เสียเวลา มาดูเนื้อหาทั้งหมดในฉบับภาษาไทยกันเลยดีกว่า
เจ.เค.โรว์ลิ่ง นักเขียนและผู้ใจบุญ
โจ โรว์ลิ่ง เคยเขียนหนังสือเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งติดอันดับหนังสือขายดีในประวัติศาสตร์ จนกระทั่งบัดนี้ เธอยังคงเดินเรื่องให้มีความสนุกสนาน อบอุ่น และจริงใจ เธอใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อสนับสนุนกิจกรรมการกุศล เช่น มูลนิธิคอมิกรีลีฟ การวิจัยโรคปลอกประสาทอักเสบ ตลอดจนคลินิกฟื้นฟูระบบประสาท แอนน์ โรว์ลิ่ง และมูลนิธิที่เธอก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ นั่นคือ มูลนิธิลูมอส และเมื่อเร็วๆ นี้เธอก็ได้เขียนนวนิยายอีก 2 เรื่อง คือ The Casual Vacancy และ The Cuckoo’s Calling (นวนิยายแนวอาชญากรรม โดยใช้นามปากกาว่า โรเบิร์ต กัลเบรธ)
เอ็มม่า วัตสัน: ฉันอยากถามคุณเกี่ยวกับการเขียนบทที่คุณกำลังเขียนให้กับ Warner Bros. สำหรับภาพยนตร์เรื่องสัตว์มหัศจรรย์…
โจ โรว์ลิ่ง: วอร์เนอร์ บราเดอร์ส เคยสอบถามมาที่ฉันเมื่อนานมาแล้ว และบอกว่าพวกเขาอยากจะทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องราวของสัตว์มหัศจรรย์ ฉันมองเห็นศักยภาพในงานชิ้นนี้ ฉันรู้บางอย่างเกี่ยวกับนิวท์ (นิวท์ สคามันเดอร์, ผู้แต่งเรื่องสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่) และเคยเขียนอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้กับมูลนิธิคอมิกรีลีฟ ฉันก็เลยลองจินตนาการถึงเรื่องราวย้อนหลังนิดๆ หน่อยๆ เกี่ยวกับเขา…
ดังนั้นเมื่อวอร์เนอร์ บราเดอร์ส มาหาฉันและบอกว่าพวกเขาอยากจะสร้างภาพยนตร์จากหนังสือเรื่องนี้ ฉันก็เกิดความรู้สึกพร้อมๆ กัน ว่า “มันมีศักยภาพมากๆ” และอีกความรู้สึกที่กังวลหน่อยๆ ว่า “ฉันรู้เรื่องบางอย่างของนิวท์ และฉันไม่อยากจะให้คุณทำลายมันลงเพื่อฉันเลย!” เพราะฉันรู้ดีว่าเขาเป็นใคร จากนั้นฉันก็หยุดและจัดระบบการเขียนที่ยืดยาวในสิ่งที่ฉันรู้เกี่ยวกับนิวท์ มันไม่ได้หมายถึงการเขียนบทเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความพยายามที่จะรวบรวมความคิดของฉันด้วย เพื่อว่าอย่างน้อยที่สุดฉันจะสามารถให้เรื่องราวปูมหลังแก่พวกเขาได้ เพื่อให้มโนภาพของพวกเขากลายเป็นจริงในแบบที่ฉันรู้
จากนั้นฉันก็ได้ทำหนึ่งในปรากฏการณ์ที่ทำให้เธอตื่นเต้นเป็นพิเศษในฐานะนักเขียน แต่ก็อย่างที่เธอรู้ว่ามันจะจบลงด้วยการทำงานมากมายก่ายกอง ฉันคิดว่า “โอ้ พระเจ้า โครงเรื่องทั้งหมดเพิ่งจะเข้ามาจู่โจมฉัน!” แต่ฉันก็ต้องทำเป็นว่าฉันรู้สึกตื่นเต้นไปกับมัน จริงๆ แล้วฉันไม่ได้คิดจะเขียนบทภาพยนตร์ด้วยตัวเองหรอก ฉันคิดว่าจะให้โครงเรื่องกับพวกเขา และจากนั้น – ให้ตาย – ฉันก็นั่งลงและคิดว่า “ฉันแค่สงสัยว่ามันจะออกมาเป็นยังไง” แล้วก็เขียนฉบับร่างอย่างหยาบๆ เสร็จภายใน 12 วัน!
เอ็มม่า วัตสัน: อ้าาา!
โจ โรว์ลิ่ง: มันไม่ใช่ฉบับร่างที่ดีนักหรอก แต่มันก็แสดงให้เห็นโครงร่างว่าควรจะออกมายังไง เพื่อจะได้รู้ว่าทั้งหมดจะเริ่มต้นที่ตรงไหน
เอ็มม่า วัตสัน: ว้าว! วอร์เนอร์ บราเดอร์ส จะต้องตื่นเต้นแน่ๆ
โจ โรว์ลิ่ง: ฉันคิดว่าพวกเขาคงตกตะลึงนิดหน่อย ฉันไม่ได้บอกพวกเขาหรอกว่าฉันเขียนเสร็จภายใน 12 วัน ฉันไม่เคยเขียนบทภาพยนตร์มาก่อน อันที่จริงฉันคิดว่ามันออกมาไม่ดีเท่าไหร่ ฉันเพียงแค่ต้องการจดบันทึกเรื่องราวคร่าวๆ และนั่นทำให้ฉันมีงานมากมายเป็นตันๆ ในวันข้างหน้าอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
เอ็มม่า วัตสัน: คุณเคยกังวลบ้างไหมเวลาที่คุณมีไอเดียเจ๋งๆ เวลาที่ชิ้นส่วนของแรงบันดาลใจมากระทบใจคุณ แล้วคุณไม่ได้บันทึกมันไว้ให้เร็วพอ
โจ โรว์ลิ่ง: ใช่แน่นอน แม้ว่าฉันจะทำงานกับหลักฐานที่หยิบมาใช้ได้สะดวก ซึ่งถ้ามันมีค่าพอให้เก็บรักษาไว้ คุณจะจำมันได้ ฉันไม่เคยคิดว่าฉันเคยสูญเสียหรือลืมเลือนอะไรไป ถ้ามันมีค่าพอที่จะจดจำจริงๆ
เอ็มม่า วัตสัน: แรงบันดาลใจเคยมากระทบใจคุณในช่วงเวลาที่ไม่สะดวกจริงๆ บ้างมั้ย อย่างตอนที่คุณกำลังขับรถ หรือคุณกำลังพาลูกๆ ไปโรงเรียน และคุณก็คิดว่า “ไม่ใช่ตอนนี้นะ!”
โจ โรว์ลิ่ง: นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไม่ฉันถึงไม่ขับรถ ฉันสาบานกับพระเจ้า ฉันขับรถไม่ได้ ผู้คนมองดูฉันและคิดกันว่า ‘คุณเป็นผู้หญิงอายุ 48 ปี และไม่ขับรถได้ยังไง’ แต่ฉันรู้จักตัวเองดี และฉันรู้ว่าฉันจะแยกตัวเองออกจากสิ่งแวดล้อมทางกายภาพยังไง
สามีของฉันเคยเตือนฉันมาจากห้องที่อยู่ห่างออกไป 3 ห้อง ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ ฉัน เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ต้องหวีดร้อง มันน่าขันเพราะเห็นได้ชัดๆ ว่าฉันรู้ว่าตัวเองอยู่กับสามี แต่มันก็ยังน่าตกใจอยู่ดี เขารู้ความจริงว่าฉันมีความคิดมากมายอยู่ในหัว และฉันมักจะกระอักกระอ่วนใจเมื่อมีใครค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ฉัน
แต่นิสัยนี้ก็เป็นข้อดี เพราะฉันสามารถเพ่งความสนใจไปสู่ระดับที่ฉันสามารถปิดกั้นทุกคนออกไป เขียนมันออกมา หรือจดจำมันลงไปในความทรงจำ จริงๆ แล้วจากนั้นฉันก็เอามันไปไว้ในธนาคาร ฉันคิดว่าการฝึกหัดเขียนหนังสือ 3 เล่มแรกของหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ในตอนที่ฉันเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว และไม่ได้รับการสนับสนุนมากมายนัก นั่นหมายถึงว่าฉันได้เรียนรู้การใช้เวลาที่ฉันมีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ
เอ็มม่า วัตสัน: คุณยังประกาศด้วยว่าตัวเองมีส่วนร่วมในการสร้างละครเวที
โจ โรว์ลิ่ง: ใช่ มันเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ ซึ่งซอนย่า ฟรีดแมน (Sonia Friedman) มีแผนการเกิดขึ้นในใจ และฉันเองก็ได้ต่อต้านมานานแล้วเกี่ยวกับการสร้างละครเวที มีบางคนที่อยากจะทำแฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นละครเพลง ฉันไม่อยากเห็นแฮร์รี่กลายเป็นละครเพลงเลยจริงๆ ดังนั้นเราจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก แต่แล้วโซเนียก็มาพร้อมกับแนวคิดที่ไตร่ตรองมาอย่างดีและน่าสนใจมากๆ ฉันค่อนข้างตื่นเต้นกับสิ่งเหล่านั้น
เอ็มม่า วัตสัน: มีเฮอร์ไมโอนี่อยู่ในนั้นด้วยไหมคะ
โจ โรว์ลิ่ง: ดีล่ะ เอ็มม่า ถ้าหนูเสนอจะเล่นบทเฮอร์ไมโอนี่ (ทั้งสองคนหัวเราะ) ฉันก็จะบอกหนูว่าจริงๆ แล้วฉันต้องการอะไร ฉันอยากจะให้หนู แดน และรูเพิร์ตแต่งหน้าหนาๆ และอยู่เบื้องหลังฉากในภาพยนตร์สัตว์มหัศจรรย์ และฉันเองก็จะร่วมเล่นกับหนูด้วย แล้วพวกเราก็จะนั่งอยู่ในห้องที่มีบาร์ หัวเราะกันตลอดช่วงบ่าย หนูคิดมั้ยว่ามันจะมหัศจรรย์แค่ไหน
เอ็มม่า วัตสัน: ฟังดูเหมือนว่าจะสนุกที่สุดเท่าที่ฉันเคยจินตนาการมาเลยค่ะ
โจ โรว์ลิ่ง: แล้วเราก็ยังสามารถทำตัวยุ่งๆ ในฐานะนักแสดงประกอบที่อยู่เบื้องหลังได้ด้วยนะ
จากนั้นเราก็จะได้ดูว่ามีใครจ้องมองมาที่เราบ้าง โดยส่วนตัวฉันอยากจะแต่งตัวในชุดผู้ชาย เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นฉันได้เลย
เอ็มม่า วัตสัน: ฉลาดมากเลยค่ะ
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คุณสามารถพูดได้ว่าคุณประสบความสำเร็จ แล้วอะไรที่มีความหมายกับคุณมากที่สุด อะไรที่เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณ
โจ โรว์ลิ่ง: ในเรื่องทั้งหมดที่ฉันเขียนมา ตอนเครื่องรางยมทูตเป็นประสบการณ์ทางอารมณ์ที่พิเศษ และเป็นตอนที่ฉันชอบมากที่สุดในหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ มันไม่ได้เป็นแค่การเขียนหนังสือเท่านั้น แต่มันได้ห่อหุ้มเรื่องราวที่นำพาให้ฉันข้ามผ่านช่วงเวลา 17 ปีของชีวิต และมันมีความหมายมากยิ่งกว่าการสร้างผลงานวรรณกรรมใดๆ ที่จะมีความหมายต่อนักเขียนคนไหนๆ ฉันหมายความว่าไม่ใช่แค่เพราะมันเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันในเรื่องเงินๆ ทองๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้เปลี่ยนจริงๆ นั่นแหละ แต่มันก็เป็นเรื่องเลวร้ายสี่หรือห้าอย่าง เมื่อเทียบกับสิ่งอื่นๆ ที่แฮร์รี่ พอตเตอร์ทำให้ฉัน
แต่ฉันหวังว่าสิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรเป็นจุดสูงสุดสำหรับแฮร์รี่ พอตเตอร์ในแง่ของความนิยม ฉันยอมรับตรงจุดนี้ แต่ช่วงเวลาสุดท้ายก่อนฉันจะตาย ฉันอาจจะมองย้อนกลับไปถึงหนึ่งในหนังสือที่ฉันชื่นชอบน้อยที่สุด และมันอาจจะกลายเป็นสิ่งเดียวที่ฉันภาคภูมิใจที่สุด เพราะสิ่งที่แตกต่างกันมีความสำคัญต่อนักเขียน
เอ็มม่า วัตสัน: ฉันคิดว่าเราน่าจะพูดถึงเฮอร์ไมโอนี่กันสักหน่อย.. ฉันแน่ใจว่าคุณคงได้ยินเรื่องนี้มาเป็นล้านๆ หน แต่ตอนนี้ที่คุณเขียนหนังสือต่างๆ เสร็จแล้ว คุณมีมุมมองใหม่ๆ มั้ย อย่างคุณมีความเชื่อมโยงกับเฮอร์ไมโอนี่ยังไงบ้าง และความเกี่ยวข้องที่คุณมีกับเธอ หรือเคยมีกับเธอด้วย
โจ โรว์ลิ่ง: ฉันรู้ว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นที่จดจำของคนอ่านมากมายได้อย่างเหลือเชื่อ และยิ่งกว่านั้นคุณจะไม่เห็นเฮอร์ไมโอนี่จำนวนมากมายในภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ที่คาดว่าจะถูกหัวเราะเยาะ ฉันหมายถึงเด็กผู้หญิงที่เอาจริงเอาจัง เฉลียวฉลาด บางทีก็ตกประหม่า นานๆ ครั้งก็จะได้เป็นนางเอก และจริงๆ แล้วฉันก็อยากให้เธอได้เป็นนางเอกนะ เธอคือส่วนหนึ่งของตัวฉัน แม้ว่าเธอจะไม่ใช่ทั้งหมดที่ฉันเป็น ฉันคิดว่าฉันจะแสดงออกต่อผู้คนยังไงตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก แต่นั่นไม่ใช่ตัวตนข้างในจริงๆ ของฉันหรอกนะ
สิ่งที่ฉันจะพูดก็คือว่าฉันเขียนถึงความสัมพันธ์ระหว่างเฮอร์ไมโอนี่กับรอนให้เป็นเหมือนการเติมเต็มความต้องการของกันและกัน นั่นคือสิ่งที่รู้สึกได้จริงๆ ด้วยเหตุผลที่มีน้อยมากที่จะทำอย่างไรกับงานประพันธ์ และมากกว่านั้นที่จะทำอย่างไรกับการยึดมั่นต่อโครงเรื่องที่ฉันคิดไว้ตั้งแต่แรกเกี่ยวกับเฮอร์ไมโอนี่และรอน
เอ็มม่า วัตสัน: อา!
โจ โรว์ลิ่ง: ฉันรู้ ฉันขอโทษ ฉันรู้ว่ามันจะทำให้แฟนๆ หลายคนโกรธและเดือดดาล แต่ถ้าฉันซื่อสัตย์อย่างแท้จริง ช่วงเวลาที่ผ่านมาได้ให้มุมมองต่อสิ่งนั้นแก่ฉัน มันเป็นทางเลือกที่ฉันทำเพื่อเหตุผลส่วนตัว ไม่ใช่เพื่อเหตุผลที่น่าเชื่อถืออะไรเลย นี่ฉันทำร้ายหัวใจของผู้คนด้วยการพูดเรื่องนี้รึเปล่า ฉันหวังว่าคงไม่นะ
เอ็มม่า วัตสัน: ฉันก็ไม่รู้ค่ะ ฉันคิดว่าคงมีแฟนๆ ข้างนอกที่รู้เรื่องนี้มากพอดู และสงสัยกันว่ารอนจะทำให้เธอมีความสุขได้จริงรึเปล่า
โจ โรว์ลิ่ง: ใช่แน่นอน
เอ็มม่า วัตสัน: และในทำนองเดียวกัน
โจ โรว์ลิ่ง: มันเป็นความสัมพันธ์ในวัยเด็ก ฉันคิดว่าแรงดึงดูดในตัวมันเองเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แต่ในด้านที่เป็นความขัดแย้ง… ฉันไม่แน่ใจว่าคุณจะสามารถผ่านพ้นมันไปได้ในความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่ มันมีพื้นฐานของการเข้ากันไม่ได้มากเกินไป ฉันไม่เชื่อว่าเราจะพูดทั้งหมดนี้ – เรื่องนี้เป็นความคิดนอกคอกของพอตเตอร์นะ!
เอ็มม่า วัตสัน: ฉันรู้ค่ะ มันเป็นความคิดนอกคอก
โจ โรว์ลิ่ง: บางทีเฮอร์ไมโอนี่กับแฮร์รี่ก็เหมาะสมกันมากกว่า และฉันจะบอกหนูเกี่ยวกับบางอย่างที่แปลกประหลาดมากๆ ตอนที่ฉันเขียนเครื่องรางยมทูต ฉันรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะเป็นอะไรที่เข้มข้นทีเดียว เมื่อฉันให้เฮอร์ไมโอนี่และแฮร์รี่อยู่ด้วยกันในเต็นท์! ฉันไม่เคยบอก (สตีฟ) โคลฟส์ ถึงเรื่องนี้ และพอเขาเขียนบทภาพยนตร์ เขาก็รู้สึกอย่างเดียวกันเปี๊ยบตรงจุดเดียวกันเป๊ะ!
เอ็มม่า วัตสัน: มันน่าสนใจทีเดียว เพราะตอนที่ฉันแสดงฉากนี้ ฉันบอกกับเดวิด (เฮย์แมน) ว่า “มันไม่มีอยู่ในหนังสือนี่คะ เธอไม่ได้เขียนตรงนี้ไว้” ฉันไม่ค่อยแน่ใจว่าฉันรู้สึกสบายใจกับสิ่งที่บอกเป็นนัยๆ บางอย่าง แม้ว่ามันจะเบาบางเพียงใดก็ตาม
โจ โรว์ลิ่ง: ใช่ แต่ทั้งเดวิดและสตีฟ พวกเขาก็รู้สึกแบบเดียวกับที่ฉันรู้สึกตอนกำลังเขียนเรื่องนี้
เอ็มม่า วัตสัน: มันค่อนข้างแปลกนะคะ
โจ โรว์ลิ่ง: และพูดจริงๆ ฉันก็ชอบฉากนั้นในภาพยนตร์นะ เพราะมันเชื่อมต่อกับบางอย่างที่ฉันไม่เคยพูดออกไป แต่รู้สึกได้ ฉันชอบมันจริงๆ และคิดว่ามันเหมาะสมแล้ว ฉันคิดว่าหนูคงรู้สึกถึงวิญญาณของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในฉากนั้น
เอ็มม่า วัตสัน: มันเป็นฉากที่หลอนจริงๆ มันก็สนุกดีนะคะ เพราะจริงๆ แล้วมันก็แบ่งแยกความรู้สึกของผู้คนออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งก็ชอบฉากนี้ ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งกลับไม่ชอบเลยซักนิด
โจ โรว์ลิ่ง: ใช่ บางคนก็เกลียดมันเหลือเกิน แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ว่ามีหลายฉากที่ดีมากจริงๆ ทั้งในหนังสือและภาพยนตร์ ฉากต่างๆ เหล่านั้นทำให้เกิดทั้งความรู้สึกในแง่บวกและแง่ลบที่รุนแรง ฉันรู้สึกดีกับมัน ฉันชอบมันนะ
เอ็มม่า วัตสัน: ฉันจำได้ว่าฉันชอบเวลาที่ถ่ายทำฉากเหล่านั้นจริงๆ แม้ว่าจะไม่มีบทพูดเลยก็ตาม มันเป็นฉากที่คุณพยายามให้เกิดช่วงเวลาพิเศษที่เหมาะเจาะ และเกิดความรู้สึกโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย แดนกับฉันก็เพียงแค่พยายามให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพื่อสื่อให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิด และมันก็สนุกจริงๆ ค่ะ
โจ โรว์ลิ่ง: และพวกหนูก็ทำให้มันออกมาสมบูรณ์แบบมาก พวกหนูทำให้เกิดส่วนผสมของความอึดอัดใจกับอารมณ์ที่แท้จริงได้อย่างดีเยี่ยมเลย เพราะมันขึ้นๆ ลงๆ อยู่บนขอบของความรู้สึกที่ว่า “นี่เรากำลังทำอะไรกันอยู่ โธ่! ไม่เอาน่า มาทำอย่างอื่นกันเถอะ” ซึ่งฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เหมาะกับช่วงเวลานั้นพอดี
เอ็มม่า วัตสัน: ฉันคิดว่ามันก็แค่ความรู้สึก ณ ช่วงเวลานั้น ที่พวกเขาต่างก็ต้องการอยู่ด้วยกัน หยอกล้อกัน และเสริมขวัญกำลังใจให้แก่กัน
โจ โรว์ลิ่ง: ใช่แล้ว มันเป็นแบบนั้นล่ะ หนูพูดได้ถูกต้อง ทั้งหมดนี้บ่งบอกถึงบางอย่างที่ทรงพลังเกี่ยวกับบุคลิกของเฮอร์ไมโอนี่ได้ดี เฮอร์ไมโอนี่เป็นคนเดียวที่ยืนหยัดอยู่กับแฮร์รี่ตลอดทุกเส้นทาง จนกระทั่งตอนสุดท้ายของหนังสือ ซึ่งเป็นส่วนท้ายสุดของการผจญภัย ไม่ใช่รอน ซึ่งบ่งบอกถึงบางอย่างที่ทรงพลังเกี่ยวกับรอนด้วย เขาถูกทำร้ายในบางมุมจากความนับถือตนเอง จากจุดเริ่มต้นของหนังสือชุดนี้ เขารู้อยู่เสมอว่าตัวเองมาเป็นที่สองรองจากสี่คนที่ดีที่สุดในครอบครัว และต้องเป็นเพื่อนกับวีรบุรุษผู้เป็นทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่าง และนั่นก็เป็นตำแหน่งที่เลวร้ายสำหรับเขา ที่ต้องอยู่ใต้เงาคนอื่นตลอดเวลา ดังนั้นรอนก็เลยต้องแสดงสิ่งที่ซ่อนอยู่ในจิตสำนึกออกมาแบบนั้นในบางเรื่อง
แต่เฮอร์ไมโอนี่อยู่กับแฮร์รี่เสมอ ฉันจำได้ว่าหนูส่งจดหมายสั้นๆ มาให้ฉัน หลังจากที่หนูอ่านเครื่องรางยมทูตและก่อนที่หนูจะเริ่มถ่ายทำ และพูดบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมันเป็นการเดินทางของเฮอร์ไมโอนี่มากพอๆ กับที่เป็นของแฮร์รี่ในตอนจบ
เอ็มม่า วัตสัน: ฉันเห็นด้วยทั้งหมด และข้อเท็จจริงที่ว่าเราต่างก็เท่าเทียมกัน และความจริงที่ว่าเธอได้บอกลาครอบครัวไปจริงๆ นั่นคือความเสียสละของเธออย่างมาก
โจ โรว์ลิ่ง: ใช่ การเสียสละของเธอยิ่งใหญ่มากจริงๆ เป็นการกระทำที่กล้าหาญมาก มันไม่ใช่การกระทำด้วยความกล้าหาญ ณ ช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาที่อารมณ์จะนำทางให้ผ่านพ้นมันไป แต่มันคือทางเลือกที่เกิดจากการคิดอย่างรอบคอบและตั้งใจ
เอ็มม่า วัตสัน: ถูกที่สุดค่ะ
โจ โรว์ลิ่ง: ฉันรักเฮอร์ไมโอนี่
เอ็มม่า วัตสัน: ฉันก็รักเธอ
โจ โรว์ลิ่ง: โอ้ หนูรู้ไหม บางทีเธอกับรอนอาจจะดีขึ้นถ้าได้รับคำปรึกษานิดหน่อยนะ ฉันสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่หน่วยให้คำปรึกษาคู่แต่งงานของผู้วิเศษ พวกเขาคงจะดีขึ้นแน่ๆ เลย รอนต้องการคำปรึกษาในเรื่องการยอมรับนับถือตัวเอง ส่วนเฮอร์ไมโอนี่เองก็ต้องการคำปรึกษาในเรื่องที่คอยวิจารณ์แม้กระทั่งเรื่องที่เล็กน้อยที่สุด
เอ็มม่า วัตสัน: ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับฉันนะ ในการที่รอนจะเป็นเพื่อนกับพ่อมดที่มีชื่อเสียงที่สุดในโรงเรียน เพราะฉันคิดว่าชีวิตได้มอบความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเจ็บปวดที่สุดให้เราครั้งแล้วครั้งเล่า จนกว่าเราจะเอาชนะมันได้ เมื่อเวลานั้นมาถึง
โจ โรว์ลิ่ง: จริงทีเดียว มันก็เคยเกิดขึ้นกับชีวิตของฉัน การที่ต้องประคับประคองรอให้เวลานั้นมาถึง ก็เพราะว่าคุณจะถูกลากไปจมปลักอยู่กับมัน และคุณจะวางตัวเองไว้ตรงหน้ามันตลอดเวลา และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งคุณจะต้องเลือกว่าจะทำอะไรกับมัน แล้วบางทีการเอาชนะมัน ก็คือการเลือกที่จะพูดว่า : ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว, ฉันกำลังจะหยุดเดินไปหาคุณ เพราะตรงนั้นไม่มีอะไรสำหรับฉันอีกแล้ว แต่ก็ใช่ คุณมีสิทธิ์ มันเป็นเรื่องที่ฉลาดมากๆ! รอนเคยชินกับการเล่นบทรองที่สนุกสนานเฮฮา ฉันคิดว่านั่นเป็นบทบาทที่ผ่อนคลายสำหรับเขา แต่ในบางจุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาต้องเป็นตัวของตัวเอง
เอ็มม่า วัตสัน: ใช่ และจนกระทั่งเขาแก้ปัญหาไม่ได้ มันเป็นภารกิจที่ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น บางทีชีวิตก็มอบสิ่งนี้ให้เขาจนพอแก่เวลา ตราบจนกระทั่งถึงเวลาที่เขาจะต้องเลือกและเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องการ
โจ โรว์ลิ่ง: ดูเหมือนว่าเฮอร์ไมโอนี่จะกลายเป็นผู้สร้างไปเลยนะ เธอแพ้ทางผู้ชายตลกสนุกสนาน หญิงสาวทั้งหลายที่ตึงเครียดมักจะชอบความสนุกสนานของชายหนุ่ม
เอ็มม่า วัตสัน: พวกเธอชอบความสนุกสนานของพวกเขา พวกเธอต้องการความสนุกสนานจากพวกเขา
โจ โรว์ลิ่ง: มันเหมือนการผ่อนคลายความเอาจริงเอาจังในตัวคุณ คุณต้องการใครบางคนที่นำความมีชีวิตชีวามาให้ หรือแสดงถึงความมีชีวิตชีวา เป็นแสงสว่างเล็กๆ ในหัวใจ
เอ็มม่า วัตสัน: แน่นอน มันสำคัญมากทีเดียว
ขอบคุณมากสำหรับการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ค่ะ